วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

ธรรมของพระภูมี


อ.อร่าม มักกล่าวแปลความเสมอว่า "ธรรม" คือ ธรรมชาติ

นั่นคือ มันมีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว เกิดมาคู่กับจักรวาลของมนุษย์ แลกรรมก็เช่นเดียวกัน เป็นของที่สร้างคู่กันมา

ด้วยทั้งสองเป็นธรรมชาติ ดังนั้นกระบวนการวิถีแห่งกรรมและธรรม จึงเหมือนกันทุกอย่าง ... จะต่างกันก็เพียงแต่จุดเริ่ม เท่านั้นเอง ว่า ปัญญาและความคิด ที่นำมาใช้ในกระบวนการ หรือการกระทำของตน นั้นมาจากที่ใด

แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็นว่า หากเชื่อปัญญาโลก อันหมายถึง ปัญญาที่มีที่มาแห่งโลกียะ ผลแห่งการกระทำ ก็เรียกว่า กรรม หากเชื่อปัญญาเหนือโลก อันหมายถึงปัญญาที่มีที่มาแห่งโลกุตระ ผลแห่งการกระทำ ก็เรียกว่า ธรรม

สิ่งที่ได้กระทำแล้ว ก็จะกลายเป็นตัวกระทำ แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า ตัวกระทำ ที่ทำแล้วนี้ไม่ตาย ผู้ใดจะมาลบไม่ได้เลย แลจะกลายเป็นพรหมลิขิต รอเราท่านในวันข้างหน้า

การกระทำเดียวกัน ผลของการกระทำ จึงมากน้อย ไปตามเจตนาแห่งการกระทำ อาทิเช่น เราตบหัวเพื่อนอย่างแรง ผลแห่งการกระทำนั้นก็ไม่มากมายนัก เพราะผู้ทำไม่เจตนาที่จะทำร้าย ดูหมิ่น ดูถูก ผู้ที่ถูกกระทำ ก็ไม่ถือสา หากแต่การกระทำเดียวกัน ไปกระทำกับผู้อื่น ผลก็เปลี่ยนไปแล้ว

การกระทำแรกๆ ก็อาจจะด้วยความคิดชั่ววูบ อาจนึกสนุก เมื่อทำไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นนิสัย และถ้ากลายเป็นปกติวิสัย ก็จักซึมลึกกลายเป็นสันดาน

ไม่ว่า กรรมหรือธรรม จึงมีจุดเริ่มและจบที่เหมือนกัน

ดังนั้น ผู้รู้ จึงไม่นำของหนักมาให้ปฏิบัติ ตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะรู้ดีว่า ยากที่จะทำได้ การเริ่มต้นพื้นฐาน จึงใช้สิ่งล่อ ล่อให้กายมาทำก่อน

อยากได้สมุนไพร ก็ต้องมาแลกกับการนั่งสวดมนต์ ฟังคำสอน นี่แหละคือเหยื่อล่อ

มาแล้ว ก็พยายามโน้มน้าว ด้วยเหตุและผล ... เรื่องเดียวที่พระภูมี และผู้ที่เดินตาม จะพูดถึง คือ เล่าเรื่อง "กรรม" ให้ฟัง

เมื่อรู้เหตุแห่งทุกข์ ว่ามาแต่กรรม ก็พิจารณาเอาปัญญาเหนือโลก ไปปฏิบัติ เพื่อสร้างบุญ

หากแต่ผลแห่งการกระทำ จะมหาศาล ก็ย่อมต้องมาด้วยใจ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเสมอว่า หลักสมุนไพร แพ้ชนะวัดกันที่ใจ

การมาของเราท่าน แรกๆ ก็พึงมาด้วยเหยื่อล่อ คือ สมุนไพร จึงต้องมา หากแต่นานวันเข้า ผู้ทีเรียนรู้ก็จักมาด้วยความศรัทธา แลผู้ที่เข้าถึง ก็จะมาด้วยใจ นั่นคือ การมาจะกลายเป็นสัญญาใจ เมื่อถึงวันเวียนมาบรรจบ ไม่ว่าฟ้าถล่ม ดินทลาย ก็จะพากายตน มากราบแม่ชีเมี้ยน มาฟังธรรมของพระภูมี น้อมนำไปปฏิบัติ ตามแต่กำลังที่ทำได้

ก็มาเหมือนกัน รับสมุนไพรเหมือนกัน หม้อเดียวกัน แต่ทำไมทานแล้วผลมันจึงต่างกันราวฟ้าดิน ... คนนั้นทาน แล้วหายวันหายคืน ดูอาการไม่น่ารอด รอดได้อย่างปาฏิหารย์ ส่วนที่ดูแล้วไม่เป็นไรมาก ทานมาต้องนานสองนาน อาการถึงไม่ทรุด แต่การหายอืดเป็นเรือเกลือ

ตัวอย่างที่ถูกหยิบยกมาอาทิเช่น แม่ชี ที่เป็นมะเร็งมดลูก ขนาดเลือดไหลออกมาตามขาตลอด มีชิ้นเนื้อหลุดออกมา มีกลิ่นเหม็น หมอไม่รับ และก็ให้ทำใจ ... ตลอดห้าปีของการมาที่นี่ ด้วยธุระจำเป็นจริงๆ จึงขาดไป ๒ ครั้ง ... มาวันนี้แม่ชีกลับมามีมดลูกที่ปกติ

ก็แล้วคนที่มาเหมือนกัน อาการก็ไม่สาหัสเท่า หากแต่การมา ว่างก็มา อยากก็มา ไม่ว่างไม่อยาก ก็ไม่มา ... อาการก็ไม่หายสักที ...

การปฏิบัติ จึงเริ่มที่กายก่อน ... กายมีมาตรฐาน จึงล้นไปถึงวาจา แลเมื่อวาจาล้น จึงไปถึงใจ ...

นี่แหละหลักของพระภูมีจึงไม่ใช้ศีล เพราะรู้ดีว่า ไม่มีใครทำได้ บวชมาปุ๊บ แบกศีล ๒๒๗ บังคับ กาย วาจา ใจ ... มันไม่มีใครทำได้หรอก

ธรรมของพระภูมี จึงเริ่มบังคับ วันละหนึ่งชั่วโมง แรกๆ ก็ต้องบังคับ เพราะไม่คุ้นชิน นานไปก็กลายเป็นนิสัย เมื่อทำได้มากขึ้น เพิ่มชั่วโมงได้มากขึ้น ก็จักกลายเป็นสันดานที่ดีของตน เรียกว่าซึมอยู่ในจิตวิญญาณ ทำได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง

วันนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ ่ชี้ให้เราท่าน เริ่มฝึก ไม่โกรธผู้อื่น วันละหนึ่งชั่วโมง ไม่ด่าว่าใคร วันละหนึ่งชั่วโมง ... นี่จึงเป็นบทเริ่มของธรรม ที่ให้ตนของเราสร้างบุญ ...แรกๆมันไม่คุ้น ... ก็ต้องระวังระไว ใช้สติให้มาก ... เหตุก็มาก

หลวงพ่อนิพนธ์เคยสอนพระไว้ว่า แรกๆ ของการฝึก ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุม เพราะสติยังเล็กอยู่ หากจะต้องเสียคุณสมบัติ ก็ควรจะเสียให้น้อยที่สุด เหตุมา หยุดใจให้ด่าไม่ได้ ก็พยายามหยุดวาจา ไม่ให้หลุดออกไป หากรู็ว่าหยุดวาจาไม่ไหวแล้ว ก็พากายเดินหนีไป ... เสียแค่ใจ ก็พอทน

หนทางเส้นนี้ แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า เสมือนไม้ไผ่ลำเดียว การปฏิบัติธรรมจักเป็นอื่นไม่ได้เลย หากต้องการถึงซึ่งนิพพาน ก็จึงต้องเริ่มที่หยุดกายก่อน ... นั่นคือ ต้องบวชสถานเดียว โกนหัว ห่มผ้าเหลือง มักน้อย สันโดษ

ก็สาวก ต้องทำตามพระศาสดา .. แต่วันนี้ไปไหน รูปเหมือนพระพุทธก็มีผมกันทั้งนั้น ...

สร้างความคิด ความเชื่อ กันผิดๆ จนยากแก้ไข วันใดที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ไม่เป็นไปตามความคิด ความเชื่อ ที่มี ก็จะกลายเป็นเหตุแห่งตน เป็นอุปสรรคในการเข้าถึง

พระพุทธเจ้าก็คนธรรมดาเหมือนเราท่าน ... อายุมาก หนังก็เหี่ยวย่น เดินธุดงค์มาก ผิวก็ดำคล้ำ หากแต่ที่ผิดไปจากคนทั่วไป หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า นั่นคือ พลังแลสังขาร ที่ไม่ร่วงโรยไปตามวัย .. ไม่ว่าจะอายุสักเท่าใด เดินหลังตรง ตาไม่ฝ้าไม่ฟาง ... ไม่มีโรค

ก็พิจารณาเถิด การกระทำของกายยังไม่มีมาตรฐาน ... แต่คุยโม้โอ้อวดว่า ทำใจได้ ..กันมากมาย ... ช่างน่าขัน

สงฆ์ของพระพุทธเจ้า วินัยเป็นตัวกำหนด ไม่มียกเว้น ฉันมื้อเดียว เป็นมาตรฐาน ไม่มีอ้างอาพาธ ไม่มีอ้างสิ่งใด จึงไม่แปลกที่เรียกสงฆ์ของท่านว่า "ขันติสงฆ์"

วินัยจึงเป็นเครื่องมือแยกคุณสมบัติของผู้ทำ ... วันหนึ่ง เมื่อฟ้าดินเขาถือวินัยนี้เป็นเครื่องตัดสิน ... ก็อย่าแปลกใจเลย ที่ผู้ที่มามาหยุดๆ อยากมาก็มา ... คนประเภทนี้ไม่มีคุณสมบัติ ไม่มีมาตรฐานในวินัย ที่จะช่วยตน ... การทานสมุนไพรของคนเหล่านี้เปล่าประโยชน์ ไม่มีวันถึงฝั่ง ... คนประเภทนี้ต้องถูกคัดออกไปอย่างแน่นอน ...

จะแหกปากสักฉันใดว่าเชื่อ ศรัทธา .. ก็ไร้ค่า เพราะกายยังทำไม่ได้ .. ใจไม่ต้องไปพูดถึง ... ไม่มีทาง ... เขาเรียกพวกเชื่อแต่ปาก เพราะใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ... ใจไม่มี มันจึงไม่บังคับกายให้มา ... หลอกใครก็หลอกได้ ... แต่ศาสน์ของพระภูมี ... เป็นศาสน์แห่งปราชญ์ เขาไม่โง่ให้แราท่านมาหลอก

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44