วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นิยายพุทธกาล

ครั้งถ้ำกระบอก สิ่งที่ทำให้พระทั้งหลาย เชื่อมั่นในแม่ชีเมี้ยน จนต้องท่านว่าหลวงพ่อใหญ่ ทั้งที่เป็นหญิง ยกให้เป็นครูบาอาจารย์ แม้นว่าแม่ชีเมี้ยนเองจะอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ไม่ได้ร่ำเรียนหนังสือ ก็ตามแต่คืออะไร

สิ่งนั้นก็คือ ความหยั่งรู้ หรือเป็นผู้รู้ ในภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้า นั่นเอง ทำให้พระและคนยุคนั้น นอกจากได้สัมผัสสมุนไพรสูตรพระภูมี จนเป็นที่ชื่นชอบ แต่ที่ชื่นชอบมากกว่า ก็คือ การที่ได้ฟังธรรมจากแม่ชีเมี้ยน โดยเฉพาะการเล่าเรื่องเมื่อครั้งพุทธกาล

หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเสมอว่า ทุกครั้งที่ลงประชุมสงฆ์ในครั้งถ้ำกระบอก ฟังธรรมจากแม่ชีเมี้ยน เล่าเรื่องครั้งพุทธกาล ช่างไหลลื่น เป็นเหตุเป็นผล ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องราวเมื่อครั้งพุทธกาลจะถูกเล่าออกมาไม่มีหยุด สิ่งหนึ่งที่คู่กันนั่นก็คือ ในขณะที่แสดงธรรมนั้น แม่ชีเมี้ยนจะทานหมากไป สอนไป การทานหมากของท่านนั้นเรียกว่า คำต่อคำ ไม่มีหยุด จะหยุดก็แต่เมื่อสอนจบแล้วนั่นเอง

เกร็ดที่เล่าสืบต่อกันมา ในการทานหมากของท่าน ที่ในยุคนั้นถือว่าเป็นของมงคลอย่างยิ่ง ดังนั้นชานหมากที่คายออกมา จึงเรียกว่า ต้องจองคิวกันยาวเหยียด ... โดยมีจุดเริ่มจาก การที่คนหนึ่งมีอาการรุนแรง แล้วแม่ชีเมี้ยนก็คายชานหมากที่เคี้ยวอยู่ให้ทาน อาการก็หยุดลงทันที

เฉกเช่นเฮียเส่ย ที่เป็นเจ้าหน้าที่ทำยาเขียวในปัจจุบัน อดีตเป็นพระรับใช้แม่ชีเมี้ยน เคยเล่าให้ฟัง ครั้งบวชอยู่ถ้ำกระบอก ด้วยความเป็นพระรับใช้นี้เอง ทำให้คนที่ไม่ชอบ จึงวางยาพิษให้ทาน ขนาดที่เรียกว่า อาเจียนไม่หยุด ถ่ายไม่หยุด จนต้องคลานไปกูฏิแม่ชีเมี้ยน ท่านเห็น ก็รีบคายชานหมากให้ทาน จึงรอดมาได้จนทุกวันนี้

อีกคนที่ยังมีตัวตนให้เห็นในปัจจุบัน ก็คือ เฮียตี๋ ที่มักจะขายน้ำให้เราท่าน ในยุคนั้นแม่ของเขาตั้งครรภ์เฮียตี๋ ไปมาหาสู่แม่ชีเมี้ยนที่ถ้ำกระบอกเป็นประจำ ขณะที่ตั้งท้องได้ ๗ เดือน ปรากฎว่า เด็กหยุดดิ้น จึงไปเรียนแม่ชีเมี้ยน แม่ชีเมี้ยน ก็คายชานหมากให้ทาน เด็กก็กลับมาดิ้น ครั้นเวลาคลอด ก็ปรากฎว่ามีชานหมากติดอยู่ที่สายสะดือ แม่ของเฮียตี๋จึงเก็บไว้มาจนทุกวันนี้

ก็แล้วที่มาของธรรมหมวดสมุนไพร หลวงพ่อนิพนธ์จึงเล่าประโยชน์ของธรรมหมวดนี้ให้ฟังว่า คนบางประเภท ธรรมของพระภูมี แม้นจักดีสักฉันใด แต่สอนหรือเปลี่ยนคนบางประเภทไม่ได้ อุปมาเหมือนคนในบัว ๔ เหล่า นั้นเอง

แต่โลกนี้ก็มีช่องทางที่บีบบังคับให้คนเหล่านั้นหันมาหาธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะความรักชีวิต นั่นก็คือ เมื่อคนเหล่านั้น เจอตอ หรือ กรรมที่ทำมา ตามมาทัน ก่อให้เกิดเป็นโรค ที่กำลังจะมาคร่าชีวิต

ยามปกติ แม้นพระภูมีจะสอนสักฉันใด ก็หาฟังไม่ แต่ยามที่ชีวิตประสพปัญหา ความรักชีวิต อยากกอบกู้ชีวิตตน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใด เพื่อตัว เพื่อครอบครัว เพื่อลูก ... ก็ตามแต่ ธรรมของพระภูมีจึงเป็นสิ่งจำเป็น ที่กรรมเขาบีบให้มาพึ่ง

ใครพิจารณาตน น้อยใจ ว่าทำไมตนจึงต้องมาเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อนิพนธ์กลับชี้ให้เห็นว่า นี่แหละเรียกว่าวาสนา ที่จะได้เวียนกลับมาหาพระพุทธศาสนา ได้ทำตน และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เดินย้อนกลับมา หลังจากหลงทาง ไหลไปตามกระแสกรรมเสียนานโข ด้วยห่างเหินพระพุทธเจ้านั่นเอง

ครั้นมาเจอแล้ว หลายท่านก็ยังมองว่า ตัวเองจน ไม่มีสมบัติ จะมาสร้างบุญเพื่อช่วยตน เหมือนดังเศรษฐีได้อย่างไร เพราะถูกกล่อมมาตลอดชีวิต ตั้งแต่เด็กว่า ทำบุญนั้น ยิ่งบริจาคเยอะ ยิ่งได้บุญมาก นั้นเอง หรือ ยิ่งสร้างโบสถ์ สร้างศาลา ยิ่งเป็นบุญใหญ่ หนักกว่านั้น สร้างพระประธาน พระองค์โตองค์ใหญ่ที่สุดในโลกไปเลยโน่น ... บุญมหาศาล

ในวาระออกพรรษา อันเป็นวันดี หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกคำสอนของแม่ชีเมี้ยน เมื่อครั้งถ้ำกระบอก เล่าให้ฟังว่า สิ่งหนึ่งที่พระยุคนั้นจะได้ฟัง คือ พุทธประวัติ ของพระภูมีทุกพระองค์ โดยเฉพาะ ๔ ยุค หลัง อันได้แก่ พระกุสันโธ พระโคนาคา พระกัสปะ และพระโคดม

ในส่วนของพระโคดมนั้น เราท่านรู้ดีว่าเป็นถึงกษํตริย์ มีสมบัติมหาศาล แต่ย้อนไปยุค พระกัสปะ ที่พระองค์เป็นชาวกะเหรียง เรียกได้ว่าจนแสนจน

เมื่อครั้งพระกัสปะจะออกบวช ก็รำพึงรำพันว่า ตัวเองนั้นจนยากไร้ แม้นแต่กางเกงที่สวมใส่ก็ยังต้องปะแล้วปะอีก จะสร้างบุญไปนิพพานได้อย่างไร

ศาสน์จึงตอบพระกัสปะว่า มนุษย์ทุกคน มีสมบัติติดตัวอันมหาศาล ที่ตามติดมาทุกภพทุกชาติ นั่นคือ นิสัย มีค่ามากกว่าสมบัติใดๆในโลกเสียอีก หากพระกัสปะตัดนิสัยได้ จึงเรียกว่า เป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ มากเสียกว่าการตัดสมบัติใดๆ บุญจากการตัดสมบัตินั้นน้อยนิด ทำสักฉันใด ก็พาไปนิพพานไม่ได้ หากแต่บุญอันเกิดจากการตัดนิสัยต่างหาก มีค่าอันมหาศาล พาไปนิพพานได้

คำอรรถาธิบายนี้เอง จึงทำให้พระถ้ำกระบอกยุคนั้นเข้าใจได้ว่า ทำไมพระโคดมจึงทิ้งเวียง ทิ้งวัง เพื่อมาแสวงหาโมกขธรรม

ก็แล้วเราท่าน จะไปหลงเชื่อพราหมณ์ ที่มันแต่งเรื่องมาเพื่อความสุขตนทำไม พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ทุกชีวิต เสมอกันหมด มีสมบัติเป็นทุนเท่ากัน คือ นิสัย ไม่ว่ายาจก เศรษฐี เมื่อมาพบพระพุทธศาสนา ได้ฟัง เชื่อ ศรัทธา แล้วทำตาม ใครทำ ใครได้

การซื้อมะพร้าว หรือสมุนไพร ที่หลวงพ่อนิพนธ์จัดขึ้น จุดประสงค์จึงทำขึ้นเพื่อให้เราท่านได้มีคุณสมบัติ เป็นผู้ให้ แสดงตนได้ตามกำลังที่ตนมี หาใช่ทำมากได้มากไม่ แต่ความมากน้อยของการได้แห่งผล ขึ้นกับความเข้าใจ และสภาวะจิตที่ทำต่างหาก ว่าทำไปเพื่อสร้างคุณสมบัติ ทำตามกำลังที่ตนมี แม้นจะแค่มะพร้าว ๒ ลูก ยี่สิบบาท หากแต่เมื่อเทียบกับผุ้ที่ให้แบบเสียไม่ได้ หรือ กลัวคนว่า เป็นหมื่นเป็นแสน ก็มากมายเหนื่อกว่าคณานับ

หลักของศาสน์ จึงมักอุปมาเหมือนสร้างเจดีย์ คนมีน้อยก็ทำตนเป็นเม็ดทราย คนมีมากก็ทำตนเป็นก้อนอิฐ มารวมตัวกันเป็นเจดีย์ หาใช่สร้างจากหินแกะสลักเพียงก้อนเดียวไม่ .... ธรรมของพระภูมี จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ธรรมสามัคคี

ก็แม้นไม่มีอิฐ ไม่มีทราย ก็มาใช้แรงร่วมสร้าง สละแรงกายให้เป็นทาน นั่นคือ ที่มาของจิตอาสา

หากแต่พราหมณ์มันมั่ว จึงอ้างคำสอน แล้วชวนให้สร้างเจดีย์ สร้างโบสถ์ ซึ่งหาประโยชน์อันใดไม่ได้เลย เพราะต้นคำสอน เป็นเพียงอุปมาให้เห็นภาพเท่านั้นเอง

ความจริงอันนี้ แม่ชีเมี้ยนชี้ให็เห็น เมื่อมองไปในอินเดียอันเป็นต้นสายธารของพระโคดม หามีวัดสักวัดไม่นั่นเอง

คนที่มีทรัพย์สินมาก จึงประมาท เพราะคิดจะเอาสิ่งที่มีไปแลกบุญ ...

ไคลแมกซ์ของศาสน์ หรือ ผลแห่งความสำเร็จ จึงอยู่ที่คำเปรียบเปรย ที่ว่า "กิ่งทอง ใบหยก" ต้องมีสองสิ่งจึงเกิดผล หลวงพ่อนิพนธ์กำลังทำตนเป็นกิ่งทอง ส่วนเราท่าน ต้องทำตัวเป็นใบหยก .... จะรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไร นั่นก็คือเหตุที่เราท่านต้องไปฟัง แล้วคิด พิจารณา เหตุและผล ว่าการเป็นใบหยก ต้องใช้คุณสมบัติอันใด

บทสรุป ที่หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ไปที่พระมาลัยท่านหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งหมอทิ้ง และให้คำกล่าวสุดท้ายว่า คุณเหลือเวลาอย่างมากก็คือ ๘ เดือน หากแต่เธอมาใช้แนวทางสมุนไพร ทิ้งทุกอย่าง มา ณ.วันนี้ ผ่านไป ๒ ปีกว่าๆ เธอกลับมาแข็งแรง กลับไปทำงานได้ปกติ .. กลายเป็นพระมาลัย ที่เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่คนตามมาจะได้รู้ว่า การทำตนเป็นใบหยกเป็นอย่างไร ....

ผลจึงไม่ได้อยู่ที่ มีหรือจน แต่ผลอยู่ที่ใจ อยู่ที่นิสัยพฤติกรรม มาที่นี่ ไม่คุยเรื่องโรคมาก แต่ที่ต้องคุยมาก จึงกลายเป็นเรื่องของนิสัยเราท่านต่างหาก

ใครว่าเป็นโรคไม่ดี แต่หากโรคเป็นเหตุที่พามายังสถานที่นี้ กลับต้องขอบคุณทุกเช้าค่ำ มิฉะนั้นทุกวันเราก็เดินเลยคำสั่งสอนของพระภุมีไปไกลขึ้นทุกวัน ... และทำให้ได้รู้ ได้สัมผัส ว่า กรรมมีจริง และธรรมก็มีจริงเช่นกัน หากแต่สิ่งนี้ ใครทำ ใครได้

การทานสมุนไพร จึงมิใช่เพื่อฟื้นฟูตนเท่านั้น หากแต่ได้ทำตนรอพระพุทธเจ้าที่กำลังจะอุบัติ มาสังคายนาพุทธศักราชของพระโคดมนั้นเองด้วย ... แล้วจะเห็นว่า คนตัดกิเลส หรือ พระที่แท้จริง ไม่สอนอย่างทุกวันนี้หรอก เพราะวินัยของเขา ฉันมื้อเดียว รถเรือไม่ขึ้น เงินทองไม่รับ มีธุดงค์เป็นวัตร ไม่สร้างโบสถ์ สร้างพระประธาน สร้างศาลา ... ผิดกับภาพที่คนห่มเหลืองทุกวันนี้สอนแบบ หน้ามือ หลังมือ พระพุทธเจ้า ก็ไม่มีเกศ เกิดมาก็ไม่ได้เดิน ๗ เก้า เป็นมนุษย์ธรรมดา เหมือนคนทั่วไป แต่เป็นผู้ทำตนจนหมดกิเลส ตัวก็ดำเพราะเดินตากแดด

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44