วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

ฝันที่เป็นจริงได้



วันเวลาผ่านไป เมื่อเราเลือกในสิ่งที่ถูก ผลถูกก็ย่อมปรากฎ

ภาพเด็กสาวที่เดินเข้ามาด้วยหน้าตาเศร้า ทุกข์ทรมานจากสิ่งที่เป็น หลังจาก ๕ ปี ในการพึ่งหมอ และความฝันที่จะหาย เริ่มเลือนลาง ไกลออกไปทุกที

วันนี้ ได้เจอเธออีกครั้ง ด้วยรอยยิ้มที่สดใส และพูดคุยอย่างร่าเริง พร้อมกับโชว์ แผลที่เริ่มจะหายให้ดู บ่งบอกได้ว่า ฝันที่เคยหายไป ได้กลับมา และใกล้จะเป็นความจริงแล้ว เธอกำลังจะปกติ ดังเช่นเพื่อนๆ และมีวันที่จะเล่นสนุก ไม่ต้องนั่งเศร้า ทนทุกข์กับสิ่งที่เป็นอีกแล้ว

เฉกเช่นเดียวกับคุณปรียานุช ผู้ที่เคยฝันว่า อยากจะกลับไปอเมริกาอีกครั้ง หลังจากได้เคยแวะเวียนไปเมื่อครั้งเป็นนางงาม

แต่ความอยากในครั้งนี้ อันเนื่องมาจากแม่ของเธอได้ย้ายไปอยู่ที่อเมริกา ความต้องการเจอแม่ นั่นเอง จึงฝันที่จะได้กลับไปอีกครั้งในชีวิต

หากแต่ความฝันของเธอต้องพังทลาย ด้วยประกาศิตจากหมอ ที่บอกกับเธอว่า ด้วยโรคกระดูกที่เธอเป็นอยู่ หากต้องไปเผชิญกับอากาศที่หนาวเย็นของอเมริกาแล้ว โอกาสที่เธอจะเสียชีวิตสูงมาก

ฝันของเธอจึงเป็นได้แค่ความอยาก แต่วันนี้ ตอนนี้ เธอกำลังอยู่กับคุณแม่ที่อเมริกา กำลังอยู่อย่างมีความสุขกับอากาศที่หนาวเย็น

ฝันของเธอกลับมา และเป็นจริงได้ เฉกเช่นที่เด็กสาวกำลังจะได้รับ ผลจากการเลือกในสิ่งที่ถูก และเรียนรู้ เพื่อทำในสิ่งที่ถูกให้แก่ตัวเอง พึ่งลำแข้งตัวเอง

ทางเลือกน้อยๆ กำลังมีผู้มาเดินตาม กำลังมีผู้ทำเป็นต้นแบบ ทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน มีคุณมหาศาล

เรายังยืนยัน ชื่อนี้ "แม่ชีเมี้ยน" คือบุคคลที่มีค่ายิ่ง ที่ได้มาสถิตย์ยังผืนแผ่นดินไทย ผู้ที่ทำให้ฝันของหลายคน ที่ไม่คิดว่าชาตินี้จะเป็นจริงได้ กลับมาเป็นจริงได้อีกครั้ง

ชื่อนี้ควรได้จารึก ให้ลูกหลานได้เรียนรู้ และกราบไหว้ ทำตามคำสอน เพื่อช่วนตน ให้ไปถึงฝั่งฝัน อย่างน้อยก็ในการรักษาตน ให้พ้นจากโรคภัย

ร้อน - สมุนไพรช่วยคลายร้อน

ด้วยความร้อนของสภาวะอากาศที่เราท่านกำลังเผชิญอยู่ อันจะมีผลทำให้คนทั่วไปเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้สั่งให้ห้องยา ได้เพิ่มเติมสัดส่วนของสมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรมะกรูด และสมุนไพรน้ำผื้ง ในส่วนของธาตุไฟให้สูงขึ้น

ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายมีความทนทานต่อความร้อน ดังนั้น สมุนไพรทั้งสองสูตรดังกล่าว ในช่วงนี้ เมื่อทานแล้ว จึงจะเผ็ดร้อนกว่าปกติ เรียกได้ว่า ต้องทำตัวให้ทนอุณหภูมิได้ถึง ๕๐ องศา เมื่อผจญกับความร้อนของอากาศ ๔๐ องศากว่า ก็จะสามารถรับได้อย่างสบาย

ผู้ที่ทานสมุนไพรดังกล่าว ก็อย่าตกใจว่า ทำไมจึงเผ็ดร้อนขึ้น ก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี้เอง

พญาน้อยชมตลาด


นักแสดง นักร้อง ที่ได้รับคำชมว่าเก่ง ล้วนแล้วแต่หมายความถึงแสดงได้ถึงอารมณ์ บทบาทราวกับว่า เป็นตัวของตัวเองจริงๆ

มองกลับกัน ย่อมหมายความว่า เมื่อเราสะกดจิตตัวเอง ว่าเราเป็นเช่นไร อารมณ์ความรู้สึกก็จะเป็นเช่นนั้นตามไปด้วย

เคล็ดอันนี้ ใช้ได้กับผู้ป่วยเช่นกัน หรือแม้แต่คนธรรมดา อยู่กินปกติ ไม่เคยไปหาหมอ สภาพแข็งแรง ทำงานหนักได้ทุกวัน อยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความรักของลูก จึงพาไปตรวจสุขภาพ ได้ฟังหมอว่า เป็นโรคร้ายแรง กลับมาบ้านก็จิตตก คิดแต่คำพูดของหมอที่ได้ฟังมา แล้วก็ติดกับดัก "คุณเป็นโรคร้ายแรง ถึงตายได้" จึงคิดแต่ว่า "กูตายแน่" อยู่ได้ไม่นานก็ตาย ทั้งๆ ที่ก่อนไปหาหมอ คนทั่วไปบอกว่า "แข็งแรงโคตรๆ ทำไม่หยุด"

การได้ฟังคำของหมอ จึงเป็นการสะกดจิตตัวเอง และทำให้ร่างกายเกิดความเครียด จนระบบรวน ทำงานผิดปกติ ในขณะที่หมอ มักกล่าวกับคนไข้เสมอว่า "ทำใจให้สบาย" ลักษณะเช่นนี้ พระภูมีเรียกพฤติกรรม "แกว่งตีนหาเสี้ยน" หรือ "อยู่ดีไม่ว่าดี" ดันไปรับรู้ เมื่อรับรู้แล้ว ก็เก็บเอามาคิด จนเป็นโทษแก่ร่างกาย

การไม่รับรู้ ไม่ไปตรวจ จึงเป็นการทำให้จิตเราผ่อนคลาย

ด้วยเคล็ดอันนี้เอง เมื่อโรเบิร์ต วิศวกรผู้ซึ่งเป็นมะเร็ง ผ่าจนไม่มีที่จะผ่า หมอบอกว่า อยู่ได้ไม่เกินสามเดือน มาพบหลวงพ่อนิพนธ์

ข้อปฏิบัติที่ให้โรเบิร์ตทำ คือ ชอบสิ่งไรทำสิ่งนั้น ให้เหมือนยามปกติที่เคยทำ ลืมเรื่องมะเร็ง ทำตัวดังคนปกติ แล้วมีพฤติกรรมเหมือนพญาน้อยชมตลาด เห็นโน่นซื้อ เห็นนี่กิน เหมือนคนปกติทั่วไป ใครถามก็ตอบ "สบายดี แข็งแรงดี"

จากวันมา โรเบิร์ตผู้ซึ่งรักการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ จึงเริ่มไปสระ ว่ายตั้งแต่เบาๆ ไปกลับ จนวันสุดท้ายครบสามเดือน เขาสามารถว่ายไปกลับได้ถึง ๒๕ รอบ ในคราวเดียว

การสะกดจิตตัวดังกล่าว ทำให้ร่างกายไม่เครียด ปลอดโปร่ง ระบบของร่างกายจะทำงานตามปกติ ผ่อนคลาย ทำให้ฟื้นฟูได้เร็ว

การแช่ง ผู้อื่นทำอย่างไร ก็ไม่เป็นผล หากแต่การแช่งตัวเอง ทุกลมหายใจเข้าออก เฝ้าบอกตัวเอง เมื่อมีอาการใดปรากฎว่า "แย่แล้ว ตายแน่ ไม่รอดแน่" สิ่งนี้แหละเป็นผล กลับกัน ก็เป็นผลเช่นเดียวกัน แล้วทำไมไม่บอกว่า "แข็งแรง สบายดี ดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวก็หาย" ทำให้จิตผ่อนคลาย กายไม่เครียด ระบบทำงานปกติ ไม่ดีกว่าหรือ

ของขวัญปีใหม่จากภาครัฐ


นับว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ภาครัฐให้การตอบสนองต่อมูลนิธิไทยกรุณา แม้จะไม่ใช่ตัวเงินที่มาอุดหนุนโดยตรง แต่ก็ถือว่าเป็นการคืนให้แก่ชาวไทยผู้เสียภาษีที่เราคิดว่า เป็นสัญญาณที่ดี

เมื่อทางการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้ทราบว่า นอกจากการให้ใช้พื้นที่แล้ว เพื่อเป็นการสนับสนุนทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน การรถไฟจะจัดโบกี้พิเศษ ขบวนรถไฟ จาก บางกอกน้อย ถึง ปลายทางสถานีชั่วคราว หน้ามูลนิธิ ให้ฟรี

ในการนี้ผู้ป่วยสามารถขึ้นโบกี้ดังกล่าวได้ และจะมาถึงสถานีชั่วคราวหน้ามูลนิธิไทยกรุณา จังหวัดกาญจนบุรี เวลาประมาณ ๙ นาฬิกา และจะมีโบกี้ขากลับ รับผู้ป่วย จากสถานีชั่วคราวหน้ามูลนิธิฯ ปลายทางบางกอกน้อย บริการฟรีเช่นกัน

โดยในการนี้ การรถไฟจะแจ้งกำหนดการ เริ่มการเดินรถ และเวลาของขบวนกลับ ให้ทราบอีกครั้ง

ดังนั้น เมื่อเริ่มเปิดรถไฟโบกี้ดังกล่าวแล้วนั้น ทางมูลนิธิฯ จึงแจ้งให้สมาชิกทราบว่า การปิดรับบัตรซึ่งเดิม จะปิดที่เวลา ๙ นาฬิกาตรงนั้น ก็จะเลื่อนไปรอจนขบวนรถไฟดังกล่าวมาถึง จึงเป็นอันสิ้นสุดการรับบัตรแทน

ขบวนรถไฟดังกล่าว ทางการรถไฟจัดให้เฉพาะเวลาที่่มูลนิธิเปิดทำการเท่านั้น คือเฉพาะวันพฤหัส และอาทิตย์ หากทราบกำหนดการแน่นอน จะแจ้งให้ทราบอีกครั้ง

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

โละ - เราจะรับมือกับการลงแดงแบบไหนดี The Choice Is Yours

เมื่อสภาพร่างกายพร้อม สมุนไพรก็จะเริ่มก่อกวนที่รังของโรค ผลที่ปรากฎ ก็คืออาการลงแดง

นัยที่สำคัญประการหนึ่ง ก็คือ แล้วเจ้าเชื้อดังกล่าว มันจะออกจากร่างกายเราโดยวิธีใด

หลักของพระภูมี ไม่ใช่การฆ่าเชื้อ แต่เป็นการใช้ภูมิ เพื่อผลักดันให้ออกไป ประเด็นที่แสดงให้เห็นความวิเศษของร่างกาย นั่นก็คือ การเลือกกระบวนการที่ปลอดภัยที่สุด และได้ผลดีที่สุด คือไม่กระทบกระเทือนร่างกายเกินไป นั่นเอง

ดังนั้น คนไข้ ที่ไม่เคยไอ ไม่เคยอาเจียน ไม่เคยถ่าย หรือไม่เคยแม้กระทั่งคิดว่าตนต้องนั่งรถเข็น ก็อาจจะเกิดขิ้น รวมไปถึงการประทุ กลายเป็นแผลที่ผิวหนัง เพื่อให้หนองและน้ำเหลืองของเสีย ได้ออกจากร่างกาย

อาการที่เกิดขึ้นนี้ ต่างกับอาการของโรคอย่างชัดเจน โดยเฉพาะถ้าท่านได้ไปให้แพทย์ตรวจ จะพบว่า อวัยวะส่วนอื่น ความดัน ล้วนแล้วแต่ปกติทั้งสิ้น

ในขณะที่ลงแดง ความพร้อมของร่างกาย จึงแสดงให้เห็นว่าระบบต่างๆ ทำงานปกติ หากเกิดจากอาการของโรค ระบบของผู้ป่วยต้องรวนแล้ว

ดังนั้น เมื่ออาการปรากฎ ในช่วงลงแดง จึงต้องยิ่งเน้นในการทานสมุนไพรให้มากกว่าปกติทั่วไป เพื่อให้ร่างกายไม่ทรุดโทรม หรือฟื้นตัวได้เร็ว และต้องใช้ความอดทนกับอาการนั้นๆ จนกว่าร่างกายจะสร้างภูมิ และกดอาการดังกล่าวให้หายไปได้เอง นั่นแหละแสดงให้เห็นว่า ร่างกายเราเอาชนะได้

การมองอาการที่เกิด จึงขึ้นกับองค์ความรู้ ที่มี อันจะเป็นผลให้ตัดสินใจที่จะทนต่อสู้ หรือหันกลับไปหาสิ่งอื่นแทน นั่นเอง

ถ้าไม่ยอมทน ก็หมายถึงไม่ยอมที่จะรื้อรังให้ออกจากตัว ยิ่งทานยาเคมี ยิ่งกดให้รังของโรค กลับลงไปซ่อนในตัวอีก การทานสมุนไพร เพื่อไล่ให้ลอยตัว แล้วนำออกจากร่างกาย ก็สูญเปล่า

มองให้เป็นคุณ แล้วยอมรับในกรรมที่ทำมา ด้วยความอดทน เมื่อผ่านนรกไป จะถึงสวรรค์อย่างแน่นอน

อาการที่เกิดจากสมุนไพร ระบบเราท่านจะไม่รวน นี่แหละความพร้อม และมหัศจรรย์ของหมอ คือตัวเราท่าน

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

ความไม่รู้

ประเทศไทยมีทรัพยากรมากมาย โดยเฉพาะน้ำมัน แต่คนไทยเจ้าของประเทศ ไม่เคยรู้เลยว่าตนรวย กลับเป็นคนนอกร่วมกับคนไทยบางกลุ่ม นั่งกอบโกยกันเปรมปรีด์

นั่งฟัง จาก ม.ล. ท่านหนึ่งที่เป็นกรรมมาธิการ กล่าวว่า ประเทศสหรัฐซื้อน้ำมันจากประเทศไทย และจำหน่ายน้ำมันเบนซิน ณ ปัจจุบัน ประมาณ ลิตรละ ๓๐ บาท

ซ้ำร้ายน้ำมันของประเทศไทย จัดเป็นน้ำมันเกรดที่ดี ดีกว่าจากซีกตะวันออกกลางที่ซื้อเข้ามาใช้กันมากนัก หากแต่ด้วยความไม่รู้ จึงทำให้เราต้องถูกโรงกลั่น และผู้ค้าเอาเปรียบ วิทยากรจึงได้ชี้ให้เห็นว่า แม้โรงกลั่นในประเทศเราจะมีถึง ๖ โรง แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ๕ ใน ๖ ก็เป็นกลุ่มเดียวกัน

ความไม่รู้ หรือ ไม่ขวนขวายดิ้นรนที่จะอยากรู้ ทำให้คนไทยต้องลำบาก ในการดำรงเลี้ยงชีพด้วยความแพงของน้ำมัน แต่สิ่งนี้ก็แค่การดำรงชีวิต และไม่ใช่ทั้งหมด บางกลุ่มลำบาก บางกลุ่มสบาย คนที่ได้ประโยชน์ก็ปกปิดให้นานที่สุด เพื่อกอบโกย

หันมามองปัจจัยในการดำรงชีวิตที่สำคัญกว่าน้ำมัน นั่นคือยารักษาโรค

เมื่อมีความสำคัญกว่า ย่อมมีผลประโยชน์มหาศาลกว่าน้ำมันนั่นเอง รูปรอยเดียวกันยิ่งต้องถูกปกปิดมากยิ่งกว่า เพราะขุมทรัพย์มันมากมายมหาศาล จนยากที่จะหยุดความโลภ ซึ่งล้นจนทำให้คุณธรรมในตนต้องเก็บฝังไว้ก่อน

เมืองที่อุดมด้วยสมุนไพร ที่มีคุณประโยชน์มหาศาล ในปัจจัยการดำรงชีวิต จึงไม่มีแม้แต่เสี้ยวของงบประมาณเพื่อใช้ในการให้ความรู้ ให้การเข้าถึง ให้เป็นทางเลือก

ที่ซ้ำร้ายในความคิดเรา เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ นำความรู้ ความจริงนี้ มาตีแผ่ ก็มีคนส่วนหนึ่งได้มารับรู้ ได้ยิน ได้ฟัง สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ บางคน ยังไม่ยอมที่จะเรียนรู้ หรือแม้กระทั่งกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ทรัพยากร และ องค์ความรู้ที่มีอยู่ ไม่สามารถช่วยเขาเหล่านั้นได้เลย แม้จะได้ใกล้ชิด ใกล้ตัว สักฉันใด

ความรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ในการทำให้ชีวิตมีช่องทาง ที่จะทำชีวิตให้ดีขึ้น เมื่อรู้แล้วก็ยังต้องไขว่ขว้า เพื่อให้ได้มา

ตราบใดที่เราไม่ดิ้นรน หาข้อมูล ให้ได้ความจริงปรากฎ ในโลกคนไทยเราก็ยังต้องใช้น้ำมันแพง ในทางธรรม เราก็ต้องผจญกรรม โดยไม่เห็นหนทางที่จะชนะ คือการหายโรคได้เลย

ดีใจที่อยู่ในประเทศที่อุดมสมบูรณ์ทรัพยากร แต่น่าเศร้าที่ไม่ได้สัมผัสเลย เพราะเราไม่รู้ หรือคิดจะเรียนรู้ และเรียกร้องไขว่ขว้า บางท่านโพสต์ว่า เมื่อไหร่จะมีสาขาของชมรมในพื้นที่ของเขา ที่ห่างไกลจากเมืองกาญจน์มากนัก เราจึงคิดว่า สิทธิ์เป็นของพวกท่าน เมื่อพวกท่านมีแต่ความอยาก แต่ไม่มีการทำ ความจริงก็ยากปรากฎ เพราะต้องรอให้เรือของหลวงพ่อ ฝ่าด่านความโลภของคน เพียงลำพัง ไปถึงแน่แต่ก็ช้าหน่อย คงไม่เร็วดั่งใจท่านแน่

คนไม่รู้ย่อมตกเป็นเหยื่อ ของคนโลภ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

ประมาท

หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า สิ่งที่พูดและตอกย้ำทุกสัปดาห์ เหตุผลก็เพียงเพื่อให้เราท่านเห็นกรรม อันเป็นรูปธรรมที่ปรากฎให้เห็น ว่ามันมีอำนาจ จะใช้สิ่งใดหยุดหรือป้องกัน ไม่ได้เลย

เราจึงเห็นคนไม่ว่าฐานันดรใด ก็เป็นโรคและแก้ปัญหาไม่ได้ เฉกเช่นเดียวกัน

และนั่นคือเป็นเหตุที่ว่า ทำไมเราต้องการพระพุทธเจ้า ถ้าเราอยากจะพ้นกรรมอันทำให้เราท่านเป็นโรคนี้ ก็เพื่อขอธรรมและน้อมนำเอาไปปฏิบัตินั่นเอง

ด้วยความรู้ที่ว่า "ธรรมชนะกรรม" นั่นเอง

แต่ แต่ และ แต่ ... สิ่งที่ธรรมเหนือกรรม ไม่ใช่ว่าจะขาด หรือทิ้งกันไกลก็หาไม่ ต้องผ่านด่าน กาย วาจา จนถึงใจ ครบทั้งสามสิ่ง จึงจะผ่านกรรมอันนั้นได้


ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมพระพุทธเจ้าเมื่อสำเร็จสัมโพธิณานแล้ว พิจารณามนุษย์ จึงคิดอดอาหารเพื่อเข้านิพพานเลย

ก็ดูนิสัยมนุษย์แล้วคงทำได้ยากนั่นเอง

กระนั้นก็ตามก็ยังคงมีผู้ที่อยากหนีกรรม และทำได้ จึงมีสาวกปรากฎให้เห็น

บุคคลเหล่านั้น ต้องทุ่มเททั้งชีวิต และวิญญาณ สละทางโลก ออกบวช และฝึกตนให้อยู่ในวินัยอันมหาศาล จึงประสพผลความสำเร็จ


หากแต่บุคคลที่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พิจารณาดูแล้วส่วนใหญ่ ยังประมาทกรรมกันเกินไป คิดว่าจะเอาชนะกันง่ายๆ ด้วยการทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว อย่างอื่นไม่สน

ภาพที่เราท่านจึงพึงเห็น หาความสงบในห้องไม่ได้เลย ไม่ว่ายามสวดมนต์ ทานสมุนไพรมะพร้าว หรือรับสมุนไพร จะพึงแลเห็นผู้ที่ปฏิบัติตามเพียงน้อยนิด

เมื่อเราท่านประมาทกรรมกันเกินไป จึงไม่พึงคิดที่จะควบคุมสติ เพื่อสงบกาย วาจา ใจ ยามที่อยู่ในห้อง ผลที่ปรากฎจึงคาดคำนวนได้ไม่ยากว่า คงเป็นได้แค่ประทังดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์สอน

ผู้ที่จะประสพผล อย่างแรกตามตำราพิชัยสงคราม ต้องรู้ศัตรูก่อน ว่าเราสู้กับใคร มีจุดอ่อน จุดแข็งที่ใด แล้วเรามีอะไร จะสู้ได้โดยวิธีใด

ก็ถ้ามาแล้วฟังคำสอน ยังไม่เห็นกรรม ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร ฤทธิ์เดชแค่ไหน อำนาจล้นขนาดใด มาตามเสียงเล่าลือ เล่าอ้าง แล้วก็สร้างหวังว่า ทานแล้วต้องหายดังเช่นเขา ไม่เอารายละเอียดเลย

หากเราท่านมีพฤติกรรมเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เป็นว่า เราประมาท ประเมินกรรม ต่ำเกิน ทั้งที่ความจริง ถ้ากรรมไม่แน่จริง ก็ทำให้เราท่านอยู่ในโลกเกิดแก่ นี้ มาจนทุกวันนี้ ไม่ได้หรอก ไปกันหมดแล้ว

เราประมาทกรรม ผลที่ได้ย่อมหาความสำเร็จไม่ได้อย่างแน่นอน เสียเวลาเปล่า ท้ายที่สุด ก็เสียความรู้สึก ว่าทำไมเราไม่ได้ผล พาลมาถึง สิ่งดีงาม กลายเป็นผู้ต้องหา หลอกลวงอีก ทั้งที่จริงแล้ว เราท่าน ไม่ทำและให้ความสำคัญกับวินัย ของพระภูมีเลย จึงหาความสงบในที่นี้ไม่ได้

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักร้องขอว่า "หากท่านยังไม่พร้อม ไม่คิดจะทำ หรือแสดงพฤติกรรม ตามคำสอนของพระภูมีแล้วไซร้ ที่มาก็ขอให้เลิกไป ที่ยังไม่มาก็เลือกทางเลือกอื่นเถิด" เพราะไม่มีทางประสพผลอย่างแน่นอน

สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ผู้ที่จะประสพผลท้ายที่สุด "ต้องเป็นคนดี"

และถ้าอยากหายโรค ต้องหา "กรรม" ให้เจอก่อน

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

บทบาทของพระพุทธเจ้า



หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านเกี่ยวข้องกับมนุษย์ในส่วนใดบ้าง อันมี ๓ ส่วน คือ

1. เรื่องของโรค 2. เรื่องของกรรม และ 3. เรื่องของชีวิต

ดังนั้น สำหรับมนุษย์โดยทั่วไปแล้ว ศาสนาพุทธ ก็ไม่ใช่ความจำเป็นของใคร ที่ต้องยึดถือ ศรัทธา หรือแม้กระทั่งทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็สามารถดำรงชีวิต ตามปกติของเขาเหล่านั้นได้

หากแต่บุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถ้ามองตัวเลขแล้ว ก็นับเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก นับสาวกก็แค่แปดหมื่นกว่า นับพุทธมามกะก็แค่ไม่กี่แสนคนเท่านัั้น ที่เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับโรค หรือชีวิต แล้วหันเข้าหาพระโคดม น้อมนำรับธรรมของท่านมาปฏิบัติ

สิ่งที่พระพุทธเจ้าชี้ให้เห็น สำหรับบุคคลเหล่านั้น คือ ไม่ว่าปัญหาโรค หรือปัญหาชีวิต มีรากเหง้ามาจากกรรมทั้งสิ้น ดังนั้น สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน จึงมีเฉพาะเรื่องกรรมเท่านั้น

ด้วยกรรมเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ การจะยอมรับความคิดนี้ จึงต้องใช้เหตุและผล เมื่อเชื่อในเหตุและผล จึงเปิดใจน้อมนำธรรมของท่านไปปฏิบัติ เพื่อล้างกรรมที่ทำมา

พระภูมี จึงวงเล็บเรื่องดังกล่าว ไม่ก้าวล่วงเรื่องอื่นใดของมนุษย์เลย ว่า สามประเด็นนี้ ล้วนแล้วแต่ต้องใช้หลัก "ตนพึ่งตน" เท่านั้น

เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำหลักของพระภูมีมาให้หลวงพ่อนิพนธ์ จึงต้องเน้นว่า ผู้ที่จะมาสถานที่นี้ ก็เพียงประเด็นดังกล่าว และต้องมารับฟังเหตุและผลของพระภูมี แล้วนำไปพิจารณา เมื่อเชื่อและศรัทธาในเหตุและผลนั้นแล้ว จึงน้อมนำคำสอนไปปฏิบัติ

ท่านจึงกล่าวว่า ผู้ที่มา แล้วไม่เดินในเส้นทางดังกล่าว จึงไม่ประสพผลในการทานสมุนไพร โดยเฉพาะ จ้างมารับแทน เพราะไม่ชอบความลำบาก ไม่ชอบรอ เสียเงินดีกว่า หรือ ที่ร้ายกว่านั้น คือ ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เอาเหตุและผลของพระภูมีเลย จึงไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใดๆ ของตนเลย ก็ยิ่งไม่มีทางประสพผลในแนวทางนี้เลย

บุคคลที่มีการกระทำดีในอดีต แม้ไม่พบเจอหรือสนใจพระพุทธศาสนาเลย เขาเหล่านั้นก็สามารถดำรงตนจนอายุขัยเป็นร้อยปีได้อย่างสบาย ดังข่าวฝรั่งอายุยืนที่ปรากฎให้เห็นอยู่

ดังนั้น พระพุทธศาสนา จึงมีประโยชน์กับมนุษย์ที่ไม่มีพรหมลิขิตอายุยืนเช่นนั้น แต่ปรารถนาจะแก้ไขสิ่งที่เป็นอยู่ นั่นคือโรคภัยที่เป็น หรือ ปรารถนาชีวิตที่มีสุข ดังพระภูมีเป็น เท่านั้นเอง

แต่หลักของพระภูมี ทำได้ยาก จึงเป็นอุปสรรคใหญ่ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เลือก แล้วหันไปหาศาสนาขอแทน เราจึงเห็นว่า สาวกของพระภูมี จึงมีแค่ไม่ถึงแสนเท่านั้นเอง


ผู้ที่มาใช้หลักสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ที่หลวงพ่อนิพนธ์สืบทอดมา จึงพึงระลึกว่า "เราท่านมาสถานที่นี้ เพื่อทุกข์ แลทุกข์ที่เกิดนั้น มีที่มาจากวินัยที่พระภูมีบัญญัติขึ้น แลเพื่อแสดงตนให้สอดคล้อง จึงมีความจำเป็นที่ต้องทำตนในร่องของพระเวสสันดร ให้ปรากฎ"

เราท่านจึงเห็น คำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ให้เรามาทำด้วยตนเอง สวดมนต์เอง ที่สำคัญ ต้องมีพฤติกรรมในการเป็นผู้ให้ด้วย จึงจะสอดคล้องหลัก "ตนพึ่งตน"

อันการให้นั้น แม้เพียงเฟื้องสลึง ก็ถือว่าเข้าข่ายแล้ว ดังนั้น การซื้อน้ำ หรือ ทานข้าว เพื่อให้กำไรจากเงินของเราท่าน นำไปเป็นเงินซื้อสมุนไพร ให้ผู้อื่นทาน จึงเป็นผลที่เกิดจากน้ำเหงื่อของเจ้าของเงินนั้นเอง ที่ได้แสดงตนเป็นผู้ให้แล้ว นั่นเอง

สถานที่นี้จึง ไม่แสวงหาผู้ใจบุญ สละเงินอันมหาศาล แล้วมาให้คนพัน คนหมื่น รุมทึ้ง การทำเช่นนั้น ผู้รับจะกลายเป็นชูชก รอรับอย่างเดียว ท้ายที่สุดท้องแตกตาย ไม่มีทางสำเร็จหายโรคอย่างแน่นอน

ผู้ใดที่ไม่คิดจะยอมลำบากวันนี้กับวินัย เพื่อสุขวันหน้า การมาของเขาเหล่านั้น จึงเป็นการเสียเวลาเปล่านั่นเอง

เราท่าน มีเวลาแค่อาทิตย์ละครั้ง หรือสองครั้ง เท่านั้น ที่จะสร้างสัมมาปฏิบัติ เพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต แม้การทำไม่จำเป็นในสถานที่นี้ก็ได้ หากแต่สถานที่นี้ เป็นที่รวมของคนทุกข์ ดังนั้น เท่ากับเป็นขุมทอง ที่ทำแล้ว ได้ผลมหาศาล

เราท่านจึงเห็น คนมาสมัครเป็นอาสากันอย่างมากมาย และเห็นเขาเหล่านั้น ประสพผลในการช่วยตนเอง

แม่ชีเมี้ยน เคยตรัสสอนว่า เนื้อนาบุญของพระภูมี ก็คือสถานที่ที่เป็นที่รวมของคนทุกข์นั่นเอง หากเราได้มาทำ ย่อมได้บุญเป็นกอบเป็นกำ เพราะมีผลต่อคนทุกข์มากมายนั่นเอง

จึงอยากให้สังเกตดูคนสองกลุ่มในที่นี้ คนที่ทำให้ผู้อื่น กับคนที่รอผู้อื่นทำให้ กลุ่มใดจะประสพผล และนั่นคือเหตุและผลที่ชี้ชัดว่า เราท่านควรทำตนเช่นไรจึงประสพผลสำเร็จ ผลรู้ได้ตั้งแต่เริ่มอยู่แล้วในใจ

เรื่องทางโลก จะใช้ใคร จ้างใคร ก็ว่ากันไป แต่สามประเด็นนี้ พระภูมี ชีัให้เห็นว่า ผู้ที่พึ่งผู้อื่น ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย และผู้สำเร็จที่ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมเลย ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่างที่หลวงพ่อนิพนธ์มักยกมาให้เห็น ก็คือ คุณปรียานุช ที่ในอดีต เรียกได้ว่า ถ้าไม่ถูกใจต้องว๊ากตลอด แต่ในปัจจุบัน เรียกได้ว่า ไม่เคยได้ยินเสียงเช่นนั้นอีกเลย ในการทำงาน

หากไม่เห็นในเหตุและผลที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น ทางเลือกนี้ก็คงไม่มีวันสำเร็จอย่างแน่นอน จึงไม่ควรเสียเวลา เพราะท้ายที่สุดก็จะเสียความรู้สึกแลตีโพยตีพาย ว่าทำไมตนไม่ประสพผล...

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

ทำไมธุดงค์ ต้องเดินกลางแดด


บทบัญญัติของพระภูมี ละเอียดลึกซึ้ง เมื่อรู้ธรรม นั่นคือรู้ธรรมชาติของมนุษย์นั่นเอง

คำถามที่พระสงสัยและถามหลวงพ่อนิพนธ์ ว่า ทำไมต้องไปเดินกลางแดด

หลวงพ่อนิพนธ์จึงสอนว่า อวัยวะทุกส่วนของร่างกาย โดยปกติ ยิ่งใช้ยิ่งทรุดโทรม จะมีก็แต่เพียงประการเดียวคือ ไขข้อ ยิ่งใช้มาก ก็ยิ่งแข็งแรง การเดินธุดงค์ เป็นการทดสอบร่างกาย และได้ใช้ เท่ากับเสริมสร้างให้แข็งแรง พระของพระภูมี จึงเดินธุดงค์ได้ทุกปี จวบจนวันลาสังขาร

แต่สิ่งหนึ่งที่ได้ประโยชน์อันมหาศาล นั่นคือ การฝึกให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน จากความร้อน พระเมื่อไม่มีผม ยามที่เดินธุดงค์ ต้องผจญกับแดดที่แผดเผา ร้อนระอุ ร่างกายก็จะสร้างภูมิ ให้ทนต่อความร้อนนั้นๆ

ผลที่ได้ ย่อมเป็นคุณอเนกอนันต์มหาศาล เพราะยามใดที่กรรมมาถึง เราท่านย่อมต้องมีไข้ และเมื่อไข้ขึ้นสมอง ก็จะเกิดความร้อนที่วงการแพทย์เรียก ร้อนจนสมองไหม้ อาทิเช่น อาการของมาลาเรียขึ้นสมองนั้นเอง แต่ด้วยร่างกายที่ได้ฝึกมาแล้วนั้น ความร้อนของพิษไข้ ก็จึงไม่สามารถทำอันตรายใดๆต่อสมองได้

สิ่งที่คนทั่วไปเห็นว่า เป็นเรื่องลำบาก อุปมาการเข้ากระโจม การทนความร้อน ก็เป็นไปเฉกเช่นการเดินธุดงค์ แม้การทานสมุนไพร จึงมักจะใช้ความร้อน เพื่อกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน ให้ตื่นตัว และทำงานได้ตามปกติ

ด้วยความไม่รู้ จึงทำให้ผลที่ได้จากการทำน้อยไปสักหน่อย เพราะกระโจม ให้เราท่านสูตรสมุนไพร เพื่อฆ่าเชื้อทั้งผิวหนัง และระบบการหายใจ รวมถึงปอด คนที่เข้าใจ ก็จะรอจนกระโจมร้อนเต็มที่ เข้าไปแล้วค่อยๆ สูดหายใจลึกๆ ค่อยๆ ผ่อน เพื่อให้สมุนไพรเข้าได้มากที่สุด พร้อมกับถูตัว เพื่อเปิดรูขุมขนที่อุดตัน ต้องใช้ระยะเวลาที่พอควร การทำจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด

ครั้นออกมา ก็ต้องรอจนสมุนไพรที่ติดตามตัว ทำหน้าที่ หาใช่ออกมาปุ๊บก็อาบน้ำเลย ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย

ด้วยเหตุที่พระภูมีท่านเป็นผู้รอบรู้ โดยเฉพาะธรรมชาติของมนุษย์ ทุกการกระทำย่อมมีผลดี หากแต่ดูผิวเผินย่อมเป็นความลำบาก อุปมาเฉกเช่นธุดงค์ เมื่อพระสมัยนี้ไม่รู้ค่า ก็ตัดเสีย จะไปทำให้ลำบากทำไม

การกระทำใดที่เราไม่รู้ เหตุและผล แต่ด้วยผู้สอนมีเจตนาดี ย่อมไม่ผิดพลาด ยิ่งผู้สอนเป็นผู้มีคุณธรรมด้วยแล้ว เราท่านควรพิจารณาผลที่บังเกิด ถ้าเป็นผลดีแล้วไซร้ ถึงแม้ยังไม่เข้าใจในเหตุและผลที่ให้ทำ ก็ควรทำตามด้วยความพร้อม ทั้ง กาย วาจา ใจ เพราะถ้าสิ่งที่ให้ทำมันผิด ผลถูกจะเกิดไม่ได้เลย จะมีคนหายจากการทำผิดได้หรือ

เสียดายที่ปัจจุบัน ไม่มีธุดงค์ของพระ ให้เราท่านเดินตาม เพื่อฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง ....

ที่น่าเสียดายยิ่งกว่า คือ การที่คนไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตนทำ จึงไม่เน้นและให้ความสำคัญ พูดตามหลวงพ่อนิพนธ์ก็คือ ไม่พยายามทำตัวเป็นประวัติศาสตร์ที่ประสพผล แล้วให้คนรุ่นหลังมาอ่านแล้วทำตาม หากแต่ชอบที่จะอ่านประวัติศาสตร์ของผู้อื่น ...

วันอังคารที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2555

คุณกับโทษ

การกระทำที่ดูเหมือนจะคล้ายกันอย่างยิ่ง แต่ให้ผลต่างกันมหาศาล อันเป็นบทพิสูจน์ความถูกต้องในสิ่งที่ทำ มีให้เห็นในชมรมคนรักสุขภาพมากมาย

เราได้เห็นคนไปโรงพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ ใช้ผ้าปิดปาก เพื่อเวลาพูดจะได้ไม่รับหรือแพร่เชื้อ บอกเป็นนัยว่าเพื่อป้องกัน

หากแต่การสวดมนต์ ที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียก "มนต์บาลี ของพระภูมี" ที่กระทำกันอยู่ ในห้องที่เรียกว่าค่อนข้างจะเบียดเสียด แทบจะหายใจรดหน้ากัน ลมที่ทุกคนพ่นออกจากปาก กลับเป็นลมที่ทำให้เกิดสิ่งดีงาม แม้จะออกมาจากคนที่เป็นโรคทั้งนั้นก็ตาม ผลที่เห็น จึงไม่มีใครติดเชื้อเลยนั่นเอง ท่านเรียกลมนี้ว่า "ลมดี ให้คุณ"

เราได้เห็นคนที่อยู่ในที่ร้อน ร่างกายสูญเสียเหงื่อ เกิดอาการอ่อนเพลีย ยิ่งอยู่นานยิ่งแย่ แต่สถานที่นี้ กลับให้คนเข้าไปอยู่ในกระโจม ที่ร้อนกว่าอีก

สิ่งที่ได้ กลับเป็นสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น ไม่มีการอ่อนเพลีย

ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้ ย่อมเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่า สิ่งที่เราท่าน และทุกคนเดินตาม เป็นรอยของใคร แม้จะดูเหมือนกัน แต่มีเพียงรอยของพระภูมีเท่านั้นที่เป็นคุณ ดูจะเป็นการทรมานตน หากแต่สิ่งที่ทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เป็นการสร้างทุกข์ให้กับตนเอง แต่เป็นทุกข์ที่เกิดจากวินัยของพระภูมี

ทุกข์นี้จึงเป็นไปเพื่อสุขวันหน้า และมีผลจริง เพราะไม่ใช่มาจาก เกจิอาจารย์ใด หรือความคิดของคนหนึ่งคนใด เรียกได้ว่า ไม่ได้ทำเพราะนิสัยของเราท่านทั้งหลายเอง

แผ่นดินที่เกิดจากเจตนาสร้างสุขให้ผู้อื่น ผู้ร่วมย่อมได้สุขตอบแทน เราจึงเห็นอาสาสมัครที่ยิ่งทำยิ่งแข็งแรง ต่างกับคนทั่วไป ยิ่งทำงานมาก ร่างกายยิ่งแย่ลง

สิ่งนี้จึงเรียกว่า "สัมมาปฏิบัติ" ยิ่งทำยิ่งเป็นคุณ หาโทษไม่ได้เลย

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เป้าหมายเพื่อเป็นทางเลือก


จุดประสงค์หลักของการให้ตำราของแม่ชีเมี้ยนแก่หลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกล่าวว่า "เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิด"

ดังนั้น หน้าที่ของหลวงพ่อนิพนธ์ ท่านกล่าวว่า คือ ทำให้สมุนไพรเกิด นั่นคือ แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่โดดเด่นของสมุนไพร จนโลกหรือวงการแพทย์ยอมรับ และเปิดทางให้เป็นทางเลือกของผู้ป่วยนั่นเอง

จึงพึงเห็นได้ว่า ไม่ใช่มีเพื่อแข่งหรือล้มล้างแนวทางอื่น แม้แต่แพทย์สมัยใหม่ก็ตามแต่ เพราะสิ่งนั้นแม่ชีเมี้ยนได้กล่าวชี้ให้เห็นว่า "เป็นไปไม่ได้" เพราะมนุษย์มีความเชื่อ ศรัทธาที่หลากหลายต่างกัน นั่นเอง

และก็ไม่ใช่หวงตำรา อย่างที่บางคนอาจคิดว่า ในเมื่อทำให้เป็นทานหรือแจกฟรีแล้ว ทำไมไม่นำสูตรสมุนไพรเหล่านี้เผยแพร่ต่อสาธารณะเลยเสียเล่า

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ในความเป็นจริง แม้สมุนไพรของแม่ชีเมี้ยน จะมีผลดีต่อผู้ป่วยสักฉันใด แต่ในเมื่อยังไม่เป็นที่ยอมรับของวงการแพทย์ หรือโลกแล้ว ก็คงหาประโยชน์ได้ไม่มากนัก เพราะผู้ที่จะเลือก ก็คงลังเล และไม่แน่ใจ นั่นเอง

ขั้นตอนของการทำเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ จึงต้องทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ว่า การจะประสพความสำเร็จในแนวทางนี้ ต้องทำอย่างไร ประการหนึ่ง และต่อมา ก็จะสามารถใช้ความสำเร็จเบื้องต้น ในการส่งโครงงาน เพื่อให้อนามัยโลกยอมรับ และเมื่อโลกประจักษ์ว่า แนวทางนี้มีโอกาสประสพผล นั่นแหละจึงเป็นที่มาของทางเลือก

ขั้นตอนแรก ก็ผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว ถึงเวลานี้ คณะกรรมการก็กำลังจัดเตรียมเพื่อส่งโครงงานไปพิสูจน์ระดับโลก และท้ายที่สุดที่มุ่งหวังนั่นคือ การเป็นทางเลือกนั่นเอง

การจะเป็นทางเลือก นั่นก็คือ เมื่อผู้ป่วยไปหาหมอเพื่อตรวจอาการที่เกิด ตัวอย่างเช่น ผลปรากฎว่าเป็นความดัน โรงพยาบาลก็จะแจ้งให้ทราบเพื่อตัดสินใจว่า ผู้ป่วยจะเลือกรักษาโดยวิธีใด แผนปัจจุบัน หรือ สมุนไพร

ณ วันนั้น สูตรสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ก็คงได้บรรจุเพื่อเป็นสมุนไพรในโรงพยาบาล ด้วยความเต็มใจของหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับผู้ป่วยก็จะรู้ว่า หากใช้แนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จะประสพผลสำเร็จ ต้องทำอย่างไรปฏิบัติอย่างไร

นั่นคือปลายทางของการตอบแทนแผ่นดินเกิด เมื่อผลของสมุนไพร ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่ง ได้สังคยานาตนเอง ตามคำสอนของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์ถ่ายทอดมาจากแม่ชีเมี้ยน นั่นเอง และคนจำนวนนั้น ก็ไม่ใช่คนไทยทั้งหมด อาจจะมีแค่หลักหมื่น จากหลายสิบล้านคนก็เป็นได้ แต่คนเหล่านั้น จะได้ชื่อว่า เป็นผู้หายโรค ด้วยตนเอง ได้สร้างประวัติศาสตร์ว่า "ความไม่มีโรค" ที่พระภูมีตรัส นั้นมีจริง ทำได้จริง

ความจริงที่แม่ชีเมี้ยนตรัส ยกตัวอย่าง สาวกของพระโคดม มีเพียงแปดหมื่นกว่า จากคนอินเดียร่วมร้อยล้านคน เป็นเครื่องบอกอย่างชัดเจนว่า ในอดีตธรรมของพระโคดมแม้นจะดีสักฉันใด ก็ได้แค่เพียงการยอมรับ หากแต่มีผู้เชื่อและทำจริง แค่หยิบมือ ฉันใดก็ฉันนั้น สมุนไพรสูตรพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนถ่ายทอดให้หลวงพ่อนิพนธ์ แม้จะดีสักฉันใด ก็คงได้แค่การยอมรับเช่นกัน คงมีผู้ที่เลือกและเดินตาม ไม่มากนัก แต่อย่างน้อยก็ได้แสดงตนเป็นทางเลือก ที่มีโอกาสรอด ... ไม่ใช่ "ศูนย์"

หน้าประวัติศาสตร์กำลังถูกบันทึก จากเราท่านและทุกคน เพื่อเป็นบทสรุปว่า ทางเลือกใดคือหนทางรอดที่แท้จริง

คนไทยที่รอด แต่ละคนนั้นแหละคือดินก้อนหนึ่งของแผ่นดินนี้ คนดีเท่านั้นที่จะรอด อันหมายถึง ประเทศนี้จะได้ดินที่ดีกลับมา เพื่อสร้างคุณนั่นเอง นี่แหละที่แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า คือ "การทดแทนคุณแผ่นดินเกิด"

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

คำอฐิษฐานในการทานสมุนไพร


องค์ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง ในการทำเพื่อให้บรรลุผลตามเจตนา

การทานสมุนไพรก็เฉกเช่นเดียวกัน ผู้มาทานมักจะตั้งปรารถนาว่า "ขอให้หาย" ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระภูมีสอนเลย

เพราะเหตุใด ก็เพราะหากผู้ทานอฐิษฐานดังกล่าวแล้วไซร้ หลวงพ่อนิพนธ์สอนว่า ทำให้เราท่านประมาท และเกิดการกระทำที่เรียกว่า "อกตัญญูต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่ช่วยเราได้อย่างง่ายดาย

สิ่งแรกที่แม่ชีเมี้ยนสอน ในการทานสมุนไพรของพระภูมี นั้นคือ ให้พิจารณาเหตุผลก่อนอื่นใด ว่า เราท่านมาทานสมุนไพรเพื่ออะไร

ด้วยเหตุที่พระภูมีตรัสว่า "โรคเกิดแต่กรรม" ดังนั้น เมื่อเรามาใช้แนวทางของพระภูมี จึงหลีกเลี่ยงความทุกข์ที่เกิดจากกรรม มาทุกข์กับสมุนไพร และวินัยของพระภูมีแทน

สมุนไพรของพระภูมี มีไว้เพื่อช่วย ไม่มีสิ่งใดที่จะให้โทษเลย ดังนั้น รสชาติ ก็เป็นทุกข์ที่เราท่านต้องเผชิญ และเมื่อการทานดำเนินไป อาการที่เกิด ล้วนแล้วแต่เป็นกรรมที่เราท่านทำมา ทั้งหมดทั้งปวง ที่เราต้องใช้

พระภูมีจึงให้สติ เมื่อเลือกเดินทางนี้ว่า "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า"

หากเราเข้าใจเหตุผลดังกล่าวแล้ว แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า พระภูมีจึงสอนผู้ที่มาเดินทางนี้ว่า "การอฐิษฐาน พึงขอให้เราท่าน สามารถทานสมุนไพร ได้โดยปราศจากอุปสรรค แลขอให้อย่ามีจิตใจหรือ พฤติกรรมที่ก้าวล่วงสมุนไพร หรือเห็นสมุนไพรผิด เมื่อเกิดอาการอันเนื่องจากกรรมเราท่านทำมา"

หากเราขาดซึ่งความรู้ วันหนึ่งเมื่อการลงแดงปรากฎ หรืออาการโรคที่แฝงอยู่ในตัว ถูกสมุนไพรคุ้ยขึ้นมาวันใด จิตเราจะคิดขึ้นมาทันทีทันใดว่า เป็นเพราะสมุนไพร เพราะเมื่อก่อนไม่เคยเป็นเช่นนี้เลย ซึ่งพระภูมีตรัสว่า เป็นไปไม่ได้ ผลที่เกิด เป็นเพราะเราท่านทำมา ต่างหาก

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ผู้ใดทำได้ ย่อมผ่านซึ่งการกระทำอกตัญญูต่อผู้มีคุณ คือ สมุนไพร ผลที่ได้ก็คือ "การหายโรคนั่นเอง" แลเมื่อคราใด อาการปรากฎ จะไม่กล่าวโทษหรือคิดว่าเป็นเพราะสมุนไพร แต่จะทำให้มีสติว่า เป็นเพราะกรรมเราท่านทำมา เมื่อเราท่านเป็นผู้ทำ แล้วยอมรับ ยอมใช้ ต้องมีวันหมด ที่สำคัญ สิ่งนี้จะเป็นสติไม่ให้เราสร้างกรรมเพิ่มขึ้นมาอีกนั่นเอง

สมุนไพรจะดีสักฉันใด ก็ยังต้องอาศัยองค์ประกอบของการกระทำที่ถูกเป็นสำคัญ ในการทำให้มีฤทธิ์มากน้อย จึงไม่น่าแปลก ก็สมุนไพรหม้อเดียวกัน บางคนจึงได้ผล บางคนไม่ได้ผล ก็ด้วยเหตุที่พฤติกรรมต่างกันนั่นเอง

กินไปบ่นไป ... หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ... เสียเวลาเปล่า

รู้จัก NCI ไหม?



คือหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบโรคมะเร็งของสหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute) สามารถของบประมาณจากประธานาธิบดีสหรัฐได้โดยตรง

สิ่งที่ประจักษ์ นั่นคือหลังจากทุ่มเทงบประมาณปีละหลายแสนล้านบาท ต่อสู้กับโรคมะเร็ง จนท้ายที่สุด บทสรุปก็มาถึง นั่นคือ การขอให้รัฐบาลสหรัฐ เปลี่ยนกฎหมาย

กฎหมายดังกล่าวคือ การห้ามการนำเข้าสมุนไพร เพื่อวิจัยหรือเพื่อการบำบัดรักษาโรค

โดยให้เริ่มที่รัฐ แมรี่แลนด์ เป็นรัฐนำร่องก่อน

หลังจากประเทศยักษ์ใหญ่ในการผลิตยาเวชภัณฑ์ คือ สวิส ได้มีกฎหมาย บังคับให้ประชาชนทุกคน ที่จะซื้อยาแผนปัจจุบัน ต้องซื้อยาสมุนไพร ควบคู่กันไป ในราคาที่เท่ากัน ผู้ฝ่าฝืนมีโทษร้ายแรง

สัญญาณดังกล่าว บอกอะไรได้บ้าง สิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือ วงการแพทย์แผนปัจจุบัน มาถึงทางตันแล้ว นั่นเอง

แม้อุตสาหกรรมยา จะมีมูลค่าสูงเพียงใดก็ตาม อันหมายถึงผลประโยชน์ที่ให้ต่อนักการเมือง แต่ ค่ารักษาพยาบาล ที่พุ่งขึ้น ที่สหรัฐเรียก medicare and medicaid ในการดูแลพลเมืองของตน จนเกือบจะถึงครึ่งหนึ่งของงบประมาณประจำปีแล้วนั่นเอง

ด้วยความจำเป็นที่ต้องลดงบประมาณลง และผลของสมุนไพรเริ่มเป็นที่ยอมรับ นั่นจึงเป็นที่มาของการที่จำเป็นต้องแก้กฎหมายข้างต้นนั่นเอง

แต่ประเทศแหล่งเจ้าของสมุนไพร กลับทิ้งไปหายาเคมี .....

ตื่นเถิดชาวไทย .....

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

สมุนไพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ


ฟ้าดิน สร้างมนุษย์ขึ้นมา ในขณะเดียวกันก็สร้างสมุนไพร มาให้ทุกผู้ทุกนามได้ใช้ คู่กัน

เราจึงปรากฎสมุนไพรคู่กับมนุษย์ตลอดมา พร้อมกับบทบัญญัติอาจจะเรียกว่าคำสาปของฟ้าดินก็เป็นได้ ที่ว่า เรื่องของชีวิต อันต้องพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่ฟ้าดินสร้าง คือ สมุนไพร สงวนไว้ให้แต่ผู้ที่มีคุณธรรมเท่านั้น จึงเกิดฤทธิ์

พระภูมีได้แยกให้เห็นว่า สิ่งที่ทำไว้เลี้ยงชีพ เรียกว่า "สัมมาอาชีพ" สำหรับสมุุนไพร ผู้มีคุณธรรม นำไปใช้เรียก "สัมมาปฏิบัติ"

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้กล่าวเรื่องราวเมื่อครั้งที่ยังเรียนสมุนไพรกับแม่ชีเมี้ยนในอดีตว่า ครั้งหนึ่ง แม่ชีเมี้ยนได้สอนให้ดูต้นไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสมุนไพรที่หายาก และมีราคาสูง เมื่อฝึกดูและพิเคราะห์ จนจดจำได้ ท่านจึงให้เดินเข้าป่าเพื่อไปหาต้นดังกล่าว

ความคิดที่ผุดขึ้น คือ ความรวยที่จะเกิดขึ้นจากต้นสมุนไพรดังกล่าว หากพบแหล่งของมัน

เมื่อหลวงพ่อนินพธ์เดินเข้าป่าไป เดินวนไปวนมาหลายชั่วโมง ก็ไม่พบ จึงเดินกลับมาหาแม่ชีเมี้ยน

แม่ชีเมี้ยนรู้ความในใจของท่าน จึงสอนว่า ให้ท่านตั้งจิตอฐิษฐานเสียใหม่ เปลี่ยนความตั้งใจ ในการไปหาสมุนไพร จากเดิมมาเป็นการทำให้ เพื่อช่วยคน แล้วเดินเข้าไปใหม่

เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ทำตาม แล้วกลับเข้าป่า เดินหาในบริเวณเดิมที่ผ่านมาแล้ว กับปรากฎต้นสมุนไพรดังกล่าวให้เห็นเป็นจำนวนมาก

แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสสอนว่า สมุนไพรถูกโฉลกกับผู้มีคุณธรรม แลจะมีฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อ ผู้ทำทำให้เป็นทาน เท่านั้นเอง ผู้มีความโลภ นำไปใช้สักฉันใด ก็หาเกิดประโยชน์ได้ไม่ เพราะเขาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ รู้ใจผู้ทำ และผู้ทาน

เมื่อผู้ทำ มีคุณธรรม ก็ยังไม่เพียงพอให้เกิดฤทธิ์ หากแต่ผู้ทาน ยังคงต้องทานเพื่อให้มีกำลังในการทำความดีอีกด้วย จึงจะมีฤทธิ์มหาศาล

แม่ชีเมี้ยน จึงตรัสว่า ท่านไม่ต้องกลัวหรอกว่า คนทานจะมาหลอกทาน เพื่อให้หายจากโรค แล้วนำแรงที่ได้ ไปทำบาปอีก สิ่งศํกดิ์สิทธิ์ เขามีหูมีตา มันเป็นไปไม่ได้ ทานให้ตาย ก็ไม่เกิดผล เพราะเขารู้ใจทั้งคนทำ และคนทาน นั่นเอง

จึงไม่น่าแปลก เมื่อท่านจำรูญ เปลี่ยนใจ สมุนไพรถ้ำกระบอกก็ดิ่งลงเหว หาสรรพคุณใดไม่ได้เลย แลจะมีคนที่จะหายจากโรคเพื่อกลับไปเป็นโจร หรือทำความชั่วดังเดิมอีก ไม่มีเลย

น้ำหนัก - ธรรม vs. กรรม

สัจจะธรรมความเป็นจริงที่ปรากฎ ทำให้เห็นว่า คำพูดที่ชี้ให้เห็นว่า "ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน

แม้บุคคลหนึ่ง อาจจะมีความสามารถซ่อนเร้น หลอกผู้อื่นได้สักฉันใด แต่ผลของการกระทำ ย่อมแสดงออกถึงจิตใจที่มี อย่างชัดเจน เป็นประจักษ์พยาน

การกระทำ หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม่ชีเมี้ยนสอนไว้ว่า "เมื่อทำแล้ว มีตัวตน มีน้ำหนัก ที่สำคัญ ไม่ตายเลย แม้จะทำสักฉันใด เมื่อการกระทำนั้นเป็นตน ผู้อื่นจะมาลบล้างการกระทำของตนเรานั้นไม่ได้เลย"

เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำคำสอนของพระภูมี มาถ่ายทอดให้ เราจึงมักได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า ตัวท่านเองก็ช่วยใครไม่ได้ ขนาดพระพุทธเจ้า มีบุญญาธิการมหาศาล ยังช่วยใครไม่ได้เลย แต่สิ่งที่ท่านเรียนรู้มา คือธรรมคำสอน และสูตรสมุนไพร ของพระพุทธเจ้านั้น ความรู้นี้ ผู้ที่รับไปทำและปฏิบัติ เมื่อทำได้ สามารถใช้ช่วยตนของตนเองได้

ด้วยเหตุที่การกระทำ เมื่อทำแล้วย่อมมีน้ำหนัก ดังนั้น เมื่อผู้ใดเชื่อกรรม น้ำหนักของการกระทำที่เกิด แม่ชีเมี้ยนอุปมาเหมือนมีหนี้ หากบุคคลใด เชื่อธรรมของพระภูมี น้ำหนักของการกระทำ เรียกว่า บุญ อุปมาเหมือนเงินทองที่เราหาได้ เพื่อนำไปใช้หนี้นั่นเอง จะผิดกันกับโลกทั่วไป ก็คือ ไม่ว่าหนี้กรรม หรือ บุญ ที่พึงเกิดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นตัวเราท่านเท่านั้นที่ทำเอง

เมื่อน้ำหนักกรรมเกิด ย่อมมีหนี้เกิด หากแต่เราไม่ยอมใช้หนี้ ไม่ยอมเป็นหวัด ไม่ยอมปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ เลย นั่นก็คือ ปฏิเสธการจ่ายหนี้ น้ำหนักที่แบกไว้ ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง มันก็ทับเราตาย

ด้วยความรู้ของพระภูมี ที่หลวงพ่อนิพนธ์รับมาจากแม่ชีเมี้ยน เห็นชัดในสิ่งนี้ จึงมีหน้าที่ยุยงคน ให้เดินตามรอยพระภูมี เพื่อให้ชีวิตปลอดภัย นั่นคือ ยอมรับและก้มหน้าก้มตา ใช้หนี้ ที่ทำไปแล้ว นั่นคือ ยอมทุกข์วันนี้ ในอาการที่เกิดมาเพื่อทวงหนี้ พร้อมกันนั้น ยังยอมทุกข์กับวินัย ของพระภูมี เช่น การไม่โกรธ เพื่อสร้างบุญ นำไปใช้หนี้ อีกทางหนึ่ง ยอมทุกข์กับรสชาดของสมุนไพร เพื่อใช้หนี้อีกทางหนึ่ง อันทำให้อาการทรมานจากโรคลดน้อยลง

ด้วยเหตุผลของพระภูมี หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวย้ำเสมอว่า ถ้าเราท่านไตร่ตรอง จะเห็นจริงว่า น้ำหนักที่กดทับเราอยู่ ทำให้เราเป็นทุกข์ คือกรรมเราท่านทำมา จะให้ผู้อื่นแก้ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

หมอแขก หมอจีน หมอฝรั่ง หมอผี คาถา เสกเป่า จะทำสักฉันใด ก็ไม่สามารถทำให้เราท่านหายโรคได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่ตอกย้ำ คือ พระพุทธเจ้าไม่ใช่มนุษย์ลวงโลก คำตรัสของท่านทุกคำเป็นความจริง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงพูดเสมอว่า "เราไม่กลัวหรอก ว่าท่านเป็นโรคอะไรมา เพราะสมมุติฐานที่พระภูมีตรัสสอนไว้ นั่นคือ เหตุมาจากกรรม"

วิชาของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาสอนให้ คือ สมุนไพร และธรรมคำสอนนั้น เป็นคู่ปฏิปักกับกรรมอยู่แล้ว ที่สำคัญ บทพิสูจน์ที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า "ธรรมชนะกรรม"

ผลแพ้ชนะ จึงไม่อยู่ที่วิธีการ หากแต่อยู่ที่ผู้ที่จะมาเรียนรู้ แล้วนำไปปฏิบัติ เพื่อก่อให้เกิดน้ำหนักบุญ ได้มากเพียงพอหรือไม่นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมีแต่คำสอน ให้เราท่านไปเรียนรู้ แล้วนำมาปฏิบัติเท่านั้นเอง

ส่วนสมุนไพร ที่จำเป็นต้องปรุงแต่งเอง เพราะการทำต้องการคุณสมบัติของผู้ทำ ต้องเป็นผู้มีคุณธรรมนั่นเอง ตราบใดที่หลวงพ่อนิพนธ์ ยังคงรักษาคุณธรรม ที่แม่ชีเมี้ยนกำหนดให้ คือ "ทำแจก" สมุนไพรก็ยังมีฤทธิ์ต่อเราท่าน

ส่วนที่เหลือ สำหรับเราท่าน ที่ต้องค้นหาให้เจอ นั่นคือ แหล่งบุญ นั่นเอง เพื่อสร้างการกระทำอันเป็นน้ำหนักบุญ

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า บุญหรือกรรม มีที่มาจากแหล่งเดียวกัน คือ "มนุษย์กับสัตว์" ทำอย่างไรได้อย่างนั้น

คาถาของพระพุทธเจ้า ท่องไว้ให้ขึ้นใจ "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว"

หาใช่จากอิฐ จากปูน สร้างโบสถ์ สร้างศาลาไม่ ....

นำไปพิจารณา แล้วใช้เป็นเหตุเป็นผล หักห้ามใจ ห้ามความอยาก หากมันจำนำไปซึ่งการสร้างน้ำหนักกรรมอีก

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2555

ได้เสีย

การเลือกเส้นทางใดๆ ย่อมเป็นสิทธิของบุคคลนั้นๆ ผลที่ได้ก็ย่อมเป็นไปตามสิ่งที่เลือกนั้นเอง

พระภูมี จึงได้แสดงเหตุและผล ของทางเลือกไว้ว่า

เมื่อเลือกที่จะเดินทางที่ให้สุขในวันนี้ ตามความเชื่อใดๆ ก็ตาม หรือเลือกที่จะเดินทางที่ให้ทุกข์ในวันนี้ ตามศรัทธาที่มีต่อพระภูมี ผลที่จะพึงบังเกิด มี ๓ ประการ คือ

๑. การฆ่าหรือทำลายตน กับ การเมตตาตัวเออันหมายถึง การที่จะเลือกสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติ เพื่อบังคับให้เกิดผลตามต้องการ ดั่งบังคับเขาโคขืนให้กินหญ้า นั่นเอง ผลที่ได้คือการทำลายระบบต่างๆ ของร่างกาย อันสืบเนื่องจากการที่ร่างกายไม่สามารถขับ สิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติออกจากร่างกายได้หมดนั่นเอง การเลือกที่จะใช้เฉพาะสารธรรมชาติ ย่อมเป็นการหลีกเลี่ยงการทำร้ายตนนั่นเอง

๒. การไม่ยอมใช้กรรม นั่นคือไม่ยอมที่จะทุกข์จากโรคที่เกิด กับการยอมทนเจ็บ ทนปวด ยอมรับกรรม อันเป็นผลจากการกระทำของตน นั่นคือ เลือกที่จะสุขวันนี้ ทุกข์วันหน้า หรือ ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า แลเมื่อใช้ย่อมมีวันหมด หากแต่ไม่ยอมใช้ ย่อมสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทนไม่ไหว การตายที่เกิดย่อมเป็นอุบัติเหตุ ผลจากการไม่ยอมใช้ หาใช่เกิดจากพรหมลิขิต ให้ถึงที่ตายไม่

๓. การเดินตามรอย ว่าเป็นรอยของความเชื่ออื่นใด หรือ รอยของพระภูมี หากย้อนดูประวัติศาสตร์ ผู้ที่เดินตามรอยพระภูมี ล้วนแล้วแต่ประสพความสำเร็จถ้วนทุกตัวคน

จึงจะเห็นได้ว่า ทำไมทางเลือกที่พระภูมีให้ไว้ มีคนเดินตามน้อย ก็มันเริ่มจากทุกข์ ไม่ว่าทุกข์จากโรค หรือ ทุกข์จากวินัยปฏิบัติ แลเป็นไปดั่งภาษิต "ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า"

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนที่จะเดินตาม จึงต้องใช้เหตุและผล เป็นองค์ประกอบ จนยอมที่จะทุกข์ จึงมีไม่มาก แต่ผลที่ได้มหาศาล ไม่เพียงแต่โลกนี้ ยังติดตัวไปทุกภพทุกชาติ เป็นการกระทำที่อาจไม่เห็นผลในวันนี้ แต่ทำเพื่ออนาคต

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

เต็มสูบ

แม่ชีเมี้ยนได้เคยกล่าวว่า ในอนาคตโรคมันจะพัฒนา ดังนั้นสูตรสมุนไพรที่ท่านให้ไว้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อในอดีตถ้ำกระบอก ท่านจึงกล่าวว่า เมื่อถึงเวลา ต้องเพิ่มส่วนผสมบางตัวเข้าไป เพื่อพัฒนาและให้ทันต่อโรค

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงมักล่าวเล่นๆ ว่า ด้วยความที่เรายังไม่พร้อม การใช้สมุนไพรแบบครบสูตร ย่อมทำให้ภาระเพิ่มมากขึ้น เพราะคนที่มารับ จะเห็นผลได้เร็ว และแห่กันมา

ดังนั้น ที่ผ่านมา สมุนไพรที่จัดให้ จึงเป็นในลักษณะที่ว่า เห็นผลเหมือนกัน แต่ช้าหน่อย ก็ด้วยเหตุที่ไม่พร้อมนั่นเอง

มา ณ วันนี้ เมื่อสภาพแวดล้อม สิ่งต่างๆ เริ่มอำนวย ท่านจึงกล่าวว่า "เราจะทำเต็มสูตร เพื่อให้โลกได้เห็นคุณค่าที่แท้จริงของสมุนไพร"

จุดเริ่ม ที่จะเกิดในไม่ช้า ก็จะเริ่มจากสมุนไพรตา ที่จะทำขึ้นใหม่ หลังจากล็อตสุุดท้ายได้หมดลงเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานั่นเอง

ทั้งนี้ก็เพราะคนป่วยที่ทำงานในสาธารณสุข แจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้คนไทยเป็นโรคตา เกือบครึ่งประเทศแล้ว

เราจึงเห็นว่า คงเป็นโอกาสอันดี ที่จะได้เห็นและได้รับอานิสงฆ์ แล้วมาดูกันว่า สมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ฤทธิ์เดชขนาดไหน และผู้ที่เดินตามคำสอน จะมีผลเยี่ยงไร

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงทิ้งท้ายให้สติว่า "หลักของพระภูมี คนชอบต้องเอาเหตุ เอาผล แม้มีไม่มาก แต่ผลที่ได้มหาศาล มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ดังคำตรัส คือ ทุกข์วันนี้ เพื่อสุขวันหน้า" ใครชอบทางไหน ก็เลือกเอา แต่ถ้าไม่คิดจะทำตาม ขอร้องอย่ามาเลย เพราะผลสุดท้าย ก็คงไม่ประสพผลอย่างแน่นอน เสียเวลาเปล่า ที่สำคัญ เก็บสมุนไพรไว้ให้คนที่ต้องการดีกว่า ท่านใดที่ไม่คิดจะเลือกทางนี้ และยอมทิ้งไป ท่านก็ขอให้กุศลที่ทำ ดลให้ท่านมีความสุข

ฟ้าส่ง - รับซื้อสมุนไพร น้ำใจ นำขวดกลับมาคืน

ปัญหาที่สำคัญ ที่เกิดตั้งแต่ในอดีต และยังคงดำรงอยู่จนถึงปัจจุบัน นั่นคือ แหล่งของสมุนไพรที่บริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ราคาสมุนไพร ที่พ่อค้า ชอบที่จะคิดเอาเองตามใจ และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ จนน่าใจหาย

ผ่านมายี่สิบกว่าปี สถานการณ์ที่ต้องยอมให้กับพวกพ่อค้าเหล่านั้น ก็ดูยังต้องเป็นสภาวะจำยอมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่มา ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่า ฟ้าจะเริ่มเปิดทางให้เห็นแสงสว่างบ้างแล้ว เริ่มจาก ข้อเสนอของชาวเขาในเชียงราย ทางแม่สอด และที่สำคัญยิ่ง เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ได้ทราบข่าวจากคนไข้ว่า บริเวณแถบชายแดนเมืองกาญจน์นี้เอง มีแหล่งสมุนไพร ที่ต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก

การดำเนินการเพื่อซื้อสถานที่เพื่อจัดตั้งศูนย์รับซื้อ จึงเกิดขึ้น เพื่อให้วัตถุดิบสมุนไพรที่ได้ มีความบริสุทธิ์ ไม่ผ่านสารเคมีใดๆ และที่สำคัญ ราคาไม่แพง อีกทั้งยังก่อให้เกิดงานแก่คนในพื้นที่ เป็นของแถม

ดังนั้น ปีใหม่ไทยที่จะถึงนี้ จึงมีกิจกรรมเล็กๆ ที่คนทั่วไปคงไม่มีความสำคัญสักเท่าใด แต่กับชมรมคนรักสุขภาพแล้ว เรียกได้ว่า เป็นการเปิดประตูสู้ศึกอย่างเต็มรูปแบบ นั่นคือ การเปิดม่าน "ศูนย์รับซื้อสมุนไพร" สองแห่ง ที่จังหวัดกาญจนบุรี บริเวณชายแดนนั่นเอง

หลังม่านเปิด คณะกรรมการ หลวงพ่อนิพนธ์ และคณะกรรมการจึงมีความเห็นว่า น่าจะถึงเวลาที่จะแสดงให้โลกเห็นถึงคุณค่าสมุนไพรแล้ว

จึงมีกิจกรรม ที่จะจัดขึ้นเพื่อหาทุนจากเมืองนอก มาช่วยคนไทย ดั่งเช่นที่ถ้ำกระบอกทำในอดีต

นั่นคือ "การส่งโครงงาน และให้อนามัยโลก ประเมินผล" ที่ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจว่า จะใช้โรคใด แต่ที่น่าจะเป็นไปได้เร็ว และเห็นผล ก็คือ การรักษาโรคตา นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ในขณะที่รอวันนั้น ตอนนี้ชมรมเราต้องช่วยเหลือกันเอง โดยไม่พึ่งพาผู้อื่น หรือ รัฐ เมื่อเขายอมรับในผลของสมุนไพร และมีทุนนอกสนับสนุน ก็คือวันที่คนไทยมีสมุนไพรทานอย่างเต็มที่ และฟรี

แต่ใครจะรู้ว่า ก่อนจะมาถึงวันนี้ ก่อนจะได้ผืนดินที่ตั้งศูนย์นี้ ต้องผ่านอะไรมาบ้าง ก็ด้วยเหตุที่ทำเลที่ตั้งศูนย์ อยู่ติดถนนใหญ่ มีบุคคลที่มีอิทธิพล หมายปองอยู่เช่นกัน

และก็เป็นดั่งเช่นในหนัง การส่งมือปืนมาเพื่อหมายข่มขู่ หรือเอาชีวิตคู่แข่ง ก็เป็นเรื่องปกติ หลวงพ่อนิพนธ์ก็เช่นกัน แต่ด้วยฟ้าบันดาล เมื่อมือปืนดังกล่าวทราบว่า ผืนดินดังกล่าว จะถูกจัดตั้งเพื่อเป็นศูนย์รับซื้อสมุนไพร ความตั้งใจก็เลยเปลี่ยน รวมทั้งผู้มีอิทธิพลนั้น ก็ปล่อยวางที่ผืนนี้ให้แก่หลวงพ่อนิพนธ์ เราท่านจึงได้เห็นศูนย์นี้เกิดขึ้นในวันนี้เอง

แผ่นดินดังกล่าว กำลังเจริญ จึงมีคนหมายปองมากมาย แต่ที่เราดีใจ นั่นคือ แม้ผู้มีความอยาก ความโลภ เพราะมุ่งหมายผลประโยชน์ในแผ่นดินนั้น ยังยอมวาง เมื่อรู้จักจุดประสงค์ของหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกับสนับสนุนให้เกิดศูนย์

เราก็เชื่อว่า ผู้ที่มาใช้บริการ ก็น่าจะเข้าใจจุดประสงค์ และวิธีการของหลวงพ่อนิพนธ์เฉกเช่นเดียวกัน ก็คงมีใจที่จะนำสมุนไพรมาร่วมด้วยช่วยกัน ที่สำคัญ แม้อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็มีความหมายมากมายสำหรับชมรม นั่นคือ การซื้อน้ำ แล้วนำขวดกลับมายังสถานที่นี้ เพื่อใช้บรรจุสมุนไพร

ดูจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อรวมกันก็มีคุณค่ามหาศาล เพราะขวดที่ใช้ เดือนละสองสามหมื่นขวด ก็จะแปรค่าขวดเป็นสมุนไพรไว้ให้คนทานแทน

เมื่อฟ้าส่ง ให้คนกลับใจเรื่องที่ดินได้ เราก็เชื่อว่า คนที่มาคงจะมีน้ำใจ สนับสนุน ส่งเสริมการนำขวดน้ำกลับมาได้เช่นเดียวกัน

วันจันทร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2555

ความแตกต่าง - ระหว่างถ้ำกระบอกและมูลนิธิไทยกรุณา

สิ่งที่เราสังเกต ภาพจากอดีตเปรียบเทียบกับปัจจุบัน แลเห็นเด่นชัด นั่นคือ สัดส่วนของผู้ประสพผลสำเร็จในการรักษาตนเอง

ในอดีตคนที่ไปถ้ำกระบอก มักล้วนแต่ประสพผลสำเร็จตามความปรารถนากันแทบทั้งสิ้น ต่างกับปัจจุบัน คนที่มาแล้วประสพผล คาดว่าน่าจะไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดผลดังกล่าว ก็ต้องย้อนไปทบทวนคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ทำให้เราพบว่า เพราะความไม่เอื้ออำนวยของสถานะจากตัวท่านเอง และสถานที่่ ทำให้คนที่มาไม่สนใจที่จะเรียนรู้ หรือทำในสิ่งที่ช่วยตนเอง มุ่งเข็มไปที่สมุนไพรเพียงอย่างเดียว

คนยุคปัจจุบัน ได้ยินการบอกกล่าว ฟังแต่เรื่องราวที่บางคนประสพผลสำเร็จ เป็นเรื่องราวอัศจรรย์ และคิดว่าถ้าได้ทานสมุนไพรก็จะประสพผลเช่นเดียวกันอย่างแน่นอน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผลก็ปรากฎว่าผู้คนเหล่านั้น หาได้ประสพผลดังหวังไม่ สาเหตุหลัก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เพราะเขาขาดองค์ความรู้ ที่ต้องเรียนและนำไปปฏิบัติควบคู่กับการทานสมุนไพร เพื่อให้เกิดผลนั่นเอง

ภาพที่ปรากฎให้เห็นเด่นชัด ก็คือ ยุคถ้ำกระบอก หลวงพ่อนิพนธ์ และผู้ที่ร่วมงาน ล้วนแล้วแต่เป็นพระและแม่ชี ซึ่งมีวัตรปฏิบัติข้อหนึ่งที่สำคัญ คือ "ไม่รับเงิน"

พระไม่ต้องมีเงิน แต่ในยุคของถ้ำกระบอก กลับมีวัตถุดิบมากมาย มากองให้พระนำไปปรุงเป็นสมุนไพร สร้างที่อยู่อาศัยให้ผู้ป่วย รวมถึงทำอาหาร เสื้อผ้า

ไม่ว่าผู้คนจะหลั่งไหลมาเป็นเรือนหมื่น เรือนแสน ถ้ำกระบอกก็ไม่เคยขาดวัตถุดิบเลย มีแต่ต้องยกมือห้าม และให้รอ เพราะเกินความจำเป็น

มาในวันนี้ เมื่อเหลียวไปดูโรงทานเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้าตรงประตูทางเข้า กองวัตถุดิบที่ผู้ที่มา ไม่เคยเลยที่จะสูงกว่าหัวเข่า

สิ่งนี้ทำให้หลวงพ่อนิพนธ์ ต้องหารายได้เพื่อนำมาจัดหาวัตถุดิบ จึงจัดให้มีการขายข้าวแกง ขายน้ำ เพื่อให้มีวัตถุดิบ มาทำแจกให้ผู้ที่มาครบทุกคน

ภาพที่เห็น มันจึงสะท้อนออกมาว่า คนในอดึต เรียนรู้และเข้าใจว่า "หลักตนพึ่งตน" ของพระภูมี เขาทำกันอย่างไร แลการ "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว" เขาทำกันอย่างไร

คนในยุคถ้ำกระบอก จึงมาถ้ำเพื่อปฏิบัติตามคำสอน เพื่อให้เกิดคุณสมบัติรองรับ แล้วจึงนำสมุนไพรไปทาน ผลที่ปรากฎจึงมหาศาล

มา ณ วันนี้ บังเอิญ คนสอน ไม่ได้ห่มจีวร สถานที่ ไม่ได้เป็นวัด แต่คำสอนยังเหมือนเดิม ผลจากการปฏิบัติก็ยังเป็นเช่นเดิม แต่ผู้ที่มา ไม่ได้ทำเหมือนเดิมเสียแล้ว

ความคิดในการมายังสถานที่ของแม่ชีเมี้ยน ก็ผิดแผกแตกต่างไปกันอย่างสิ้นเชิง

เพราะคนในอดีต เขาเชื่อในตัวกระทำ อาศัยพึ่งผลจากรอยมือ รอยตีนของตน ดังนั้น เมื่อไปถ้ำกระบอก ก็ตั้งใจที่จะทิ้งรอยมือ รอยติน ให้ประทับไว้ในแผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งของตน เป็นประจักษ์พยานว่า "เขาได้ทำสิ่งที่ให้สุขแก่ผู้อื่น" ตามคำสอนของพระภูมี เพื่อเป็นที่พึ่ง และได้ของแถมกลับบ้าน คือ สมุนไพร

ถ้ำกระบอกในยุคนั้น จึงหาขยะตามพื้น หรือหาพื้นที่ที่รก ไม่ได้เลย แม้แต่ที่ว่างสักน้อยนิด ก็แย่งกันปลูกต้นไม้ ยิ่งถ้าเป็นโรงเรือนคนไข้ หรือห้องน้ำ ก็ต้องต่อคิวขอมีส่วนร่วม ปูนสักถัง ไม้สักท่อน ได้ถือสักนิด ก็ยังดี ขอให้มีรอยของเขาเหล่านั้นบ้าง

แม้แต่หินก้อนมหึมา ยังช่วยกันใช้ค้อนเล็กๆ กระเทาะเป็นหินเล็กๆ นำมาก่อสร้าง อาคาร ถนน จนพื้นที่ที่ขรุขระ เต็มไปด้วยหิน กลายเป็นพื้นเรียบ แลตำแหน่งที่หินก้อนใหญ่นั้นอยู่ ก็กลายเป็นต้นไม้

จึงไม่น่าแปลก ที่คนในอดีตส่วนใหญ่จะประสพผล เพราะการรักษาของเขา ใช้ทั้งสมุนไพร และธรรมคำสอน คู่กันนั่นเอง

ยุคปัจจุบัน เดินไปทางไหน ก็มักจะได้ยิน คนถามเจ้าหน้าที่ เมื่อไหร่จะแจกยา ทำไมไม่รีบแจกจะได้รีบกลับ แล้ว......

เราจึงมอง และพิจารณาว่า คนส่วนใหญ่ มาเพื่อรับสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ไม่สนสิ่งอื่นใด ภาพที่เห็น จึงฟ้อง ไม่ว่า กองวัตถุดิบสมุนไพร ขยะที่ทิ้งกันเกลื่อนกลาด แลที่สำคัญ ไม่เคยคิดที่จะทิ้งรอยมือ รอยตีน ไว้เป็นที่พึ่งของตนเลย

จึงไม่น่าแปลก ที่คนส่วนใหญ่ ที่มาตามกระแส ดังที่หลวงพ่อนิพนธ์ท่านเรียก จึงไม่ประสพผลเท่าที่ควร หรือ อาจล้มเหลว ในแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน ด้วยเหตุที่เขาเหล่านั้น เดินขาเดียว นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ มักจะกล่าวสอนเสมอว่า หลักที่เราใช้ มีสองขา "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม"

เราจึงแปลกใจว่า คนเหล่านั้นจะประสพผลได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่เชื่อ และทำตามผู้ที่รักษาเขาเลย

จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่เมื่อเราท่านได้มาพบสิ่งที่ดี แนวทางที่ถูก กลับได้แค่เห็น แต่ไม่ได้สัมผัส ลาภของพระพุทธเจ้า คือ "ความไม่มีโรค"

จึงเป็นบทพิสูจน์ว่า หลัก "ตนพึ่งตน" ของพระภูมี เป็นจริงอย่างแน่นอน ก็ในเมื่อเราท่าน ไม่คิดจะทิ้งรอยมือ รอยตีน ไว้เป็นที่พึ่ง ก็อย่าได้หวังว่า จะประสพผลได้เลย เพราะรอยมือ รอยตีน คนอื่น

คนที่คอยแต่การกระทำของผู้อื่นทำให้ ท่านเรียก "พวกชูชก" จะหนีจุดจบท้องแตกตาย ก็คงยาก

ก็คนทำให้ เขาเชื่อพระภูมี ทำมาหลายสิบปี ยังไม่เคยมีวันหยุด แม้แต่วันเดียว เป็นมาตรฐาน คุณธรรม ของผู้ให้ แต่ผู้ทาน หามาตรฐาน ตามคำสอนของพระภูมี ไม่ได้เลย ผลที่ได้ จึงเป็นดั่งตัวทำนั่นแล ......

เราจึงหวังแต่ว่า ด้วยจิตเจตนาของผู้ทำ ด้วยเมตตาของแม่ชีเมี้ยน และพระภูมี อาจจะเปลี่ยนใจคนยุคนี้ ให้ทำตนเช่นในคนยุคถ้ำกระบอกบ้าง คนที่มาจะได้สมหวังดังปรารถนา เช่นในอดีต

บทวิเคราะห์ จากสาธารณสุข

สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีสมาชิกชมรม ที่ทำงานในกระทรวงสาธารณสุข ได้นำบทวิเคราะห์บทหนึ่งมาให้หลวงพ่อนิพนธ์

เป็นบทวิเคราะห์เกี่ยวกับผลสรุปแนวทางที่ใช้แล้วมีผลประสพความสำเร็จ ในการรักษามะเร็ง

บทวิเคราะห์ได้สรุปว่า การใช้ยาเคมี ไม่ว่าฉายแสง หรือ คีโม ไม่มีผลในการรักษาเลย แนวทางที่มีผู้ประสพผลในการรักษา มีอยู่ ๔ แนวทางคือ

๑.การฝังเข็ม อันเป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อ

๒.การอบสมุนไพร

๓.การนั่งสมาธิ

และ ๔.การใช้สมุนไพร

บทวิเคราะห์ดังกล่าว เก็บข้อมูลจากผู้ที่ประสพผลในการรักษา ก็น่าจะเป็นข้อมูลที่บอกอะไรได้บ้าง เป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจเลือกเส้นทาง

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44