วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สวดมนต์ข้ามปี 2555

ประกาศจาก อ.อร่าม

กิจกรรมที่ชมรมคนรักสุขภาพ ทำกันมาทุกปีอย่างต่อเนื่อง นั่นคือ การสวดมนต์ข้ามปี

อันแต่เดิมนั้น มักจะมีเฉพาะคนในครอบครัว และลูกศิษย์ที่ใกล้ชิด เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

หากแต่ในช่วงหลัง ก็มีสมาชิก ที่ได้ขอหลวงพ่อนิพนธ์เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว

ในปีนี้ อ.อร่าม จึงได้ประกาศว่า หลวงพ่อนิพนธ์ได้เปิดโอกาสให้สมาชิกที่สนใจได้เข้าร่วมทำกิจกรรมดังกล่าว

โดยจะเริ่มต้น ประมาณ ๑ ทุ่ม

สมาชิกที่จะเข้าร่วม ก็ควรที่จะทานข้าวมาจากบ้านเลย และอาจนำของว่างมาร่วม เพื่อทานระหว่างพักการสวดมนต์ก็ได้

จึงขอเรียนเชิญสมาชิกที่สนใจร่วมกิจกรรม ...

บรรยากาศทั่วไป ก็จะเป็นการพูดคุยของหลวงพ่อนิพนธ์ สลับกับการสวดมนต์

ของขวัญจากอเมริกา


สาวไทย เจ้าของตำแหน่งนางงาม ๔ ตำแหน่ง ของอเมริกา วัย ๓๓ ปี

แต่ประสพปัญหา ที่หมอที่อเมริกาที่ว่ามีเครื่องมือทันสมัยที่สุด ก็ตรวจหาสาเหตุไม่พบ รู้แต่ว่า อาการของเธอ จะมีแคลเซียม จับเส้นประสาท ทำให้ตัวแข็ง ขยับเขยื้อนไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขโดยวิธีใด นอกจากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการฉีดเสตียรอยด์

เมื่อฉีดมากเข้า ร่างกายก็เกิดปฏิเสธ จนหมดหนทาง

แถมมีลูกติด คือ "ไทรอยด์เป็นพิษ"

จนญาติของเธอแนะนำให้ลองลางานมาเพื่อฟื้นฟูตนที่ชมรมคนรักสุขภาพ

หลวงพ่อนิพนธ์รับเธอไว้ จน ๔ เดือนที่ลางานมา จากวันแรกที่เธอยอมหักดิบ ไม่ฉีดเสตียรอยด์ จนมาในสภาพตัวแข็ง นอนมา และสามารถเดินกลับอย่างคนปกติ

เธอบินกลับอเมริกา และเข้ารับการตรวจจากแพทย์คณะเดิมอีกครั้ง

เธอโทรศัพท์กลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์ พร้อมกล่าวว่า เธอขอมอบของขวัญให้ นั่นคือ รายงานทางการแพทย์ของเธอ จากคณะแพทย์ ว่า ผลการตรวจล่าสุด ร่างกายเธอเป็นปกติดี รวมทั้งไม่มีอาการของไทรอยด์เป็นพิษ และคณะแพทย์ขออนุญาตกักตัวเธอ เพื่อทำเป็นกรณีศึกษา

เธอจึงอยากส่งของขวัญให้หลวงพ่อนิพนธ์ นั่นคือ ประวัติของเธอตั้งแต่เริ่มจนครั้งล่าสุด ไว้ให้เป็นหลักฐาน

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เมื่อเขาสามารถกลับมาปกติ มีความสุขอีกครั้ง สิ่งที่ได้กลับมา แม้ไม่มีราคา แต่ย่อมเป็นสุขที่จะย้อนคืนมา ตามพุทธพจน์อย่างแน่นอน

และตอกย้ำให้เห็นว่า การหายของเธอ เกิดจากการให้ฟรี ไม่มีราคา แต่สูงค่า

เราท่านทั้งหลาย พึงควรที่จะช่วยกันรักษาสถานะของการให้นี้ไว้ เพื่อเป็นทางเลือก เป็นที่พึ่งของคนต่อไป

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง แต่การทานข้าวแกงจานหนึ่ง ซื้อน้ำแพ็คหนึ่ง หรือ อุดหนุนกิจกรรมใดๆ ในชมรมคนรักสุขภาพ มีผลต่อชีวิตของคนผู้นั้น เพราะได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำให้กิจกรรมการทำให้ ดำเนินไปได้

ผลที่เกิด คือ สุขแก่ผู้ที่ได้มาพึ่ง ย่อมย้อนกลับมาหาผู้กิน ผู้ทาน อันเป็นต้นน้ำแห่งสายธารการให้นี้อย่างแน่นอน

จุดเริ่มแห่งโรคภัย


หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า หลายคนมักมีความเชื่อว่า โรคที่เป็นมีสาเหตุมาจากสิ่งต่างๆ ที่ตนเองได้ทำ ได้เจอ ได้สัมผัส

คนเป็นมะเร็ง ก็อ้างเหตุจาก บุหรี่ เหล้า การทานของผิด ...

หลายคนโทษ ความไม่สะอาด หรือ ทำผิดสุขอนามัย ...

และโทษสิ่งต่างๆ มากมาย ...

แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนไม่เคยกล่าวโทษ ที่ซึ่งเป็นสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรค นั่นคือ นิสัยของตนเอง

ด้วยเหตุที่พระภูมี ทรงรู้แจ้งแห่งธรรมชาติ และสรุปมาให้เห็นและเข้าใจได้ จึงตรัสว่า "มนุษย์เป็นไปตามกรรม"

ดังนั้น สิ่งต่างๆ ล้วนไม่สามารถทำให้เกิดโรคแก่มนุษย์ผู้นั้นได้ หากผู้นั้นไม่มีกรรม

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นว่า คนที่ไม่มีกรรม จะสูบบุหรี่สักฉันใด ก็ไม่ทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ หากแต่ถ้าคนผู้นั้นมีกรรม ก็จะอาศัยบุหรี่ เป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง ตามกรรมที่ทำมา

แลสิ่งที่ทำให้เกิดซึ่งกรรม ก็คือนิสัยของเราท่านนั่นเอง

การรักษาโรค จึงจำเป็นต้องหยุดต้นเหตุ นั่นคือ นิสัยที่ก่อกรรม ของเราท่านนั่นเอง เป็นสำคัญ

มิฉะนั้นแล้ว เมื่อเราท่านทานสมุนไพร รักษาหายจากโรคนี้ ด้วยกรรมที่ยังมีอยู่ จึงก่อกำเนิดโรคใหม่มาแทน

หรือ อาจไม่เป็นโรคใหม่ แต่ตายด้วยอุบัติเหตุ ก็เฉกเช่นกัน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงเรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่า "หนีเสือปะจรเข้" ไม่ตายด้วยโรคนี้ แต่ไปตายด้วยโรคอื่น ก็ตายเหมือนกัน นั่นคือ การรักษาไม่เป็นผล

ปีใหม่นี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ทางที่จะทำตนให้ประสพผลได้อย่างแน่นอน และรวดเร็ว จึงควรน้อมนำธรรมคำสอน บางประการ มาเปลี่ยนนิสัยกรรมของตน

บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็น คือ อย่าทำตนแบบ "รำไม่ดี โทษปี่โทษกลอง" นั่นคือ อย่าไปโทษสิ่งอื่นใดเลย ให้หันกลับมายอมรับ ว่าต้นเหตุแห่งปัญหา คือ นิสัย ของเราท่านนั่นเอง

เมื่อนั้น การแก้ไข ก็จะตรงจุด แน่นอน และรวดเร็ว ด้วยเหตุแห่งกรรม เมื่อพบธรรมของพระภูมี ก็อุปมา งูโดนเชือกกล้วย นั่นเอง

วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปีใหม่ของพระภูมี

เทศกาลที่คนทั้งโลก รื่นเริงยินดี สนุกสนานเฮฮา

แต่เมื่อผ่านพ้นไป คนทั้งโลก ก็กลับมาพบกับความจริง ว่า ตัวของตนเองนั้น มีสภาพชีวิตที่เหมือนเดิม ไม่มีอันใดเปลี่ยนไปเลย

ในขณะที่พระภูมีทรงตรัสว่า ปีใหม่ของสาวกของท่าน ไม่ควรที่จะเป็นเช่นนั้น

คนที่ทานหวานไม่ได้ ในปีที่แล้ว อันเนื่องจากเบาหวาน มาปีนี้ ควรทำตัวให้หนีพ้น แลกลับมาทานหวานได้

คนที่ทาน สัตว์ปีกไม่ได้ ด้วยเหตุแห่งเก๊าต์ ก็ควรทำตนให้กลับมาทานสัตว์ปีกได้

นั่นคือ ปีใหม่ ควรได้มาซึ่งชีวิตใหม่ ที่พ้นจากโรคภัย นั่นคือ ทำตนให้เป็นอิสระ พ้นพันธนาการจากโรคภัย

ดังนั้น ปีใหม่ของพระภูมี นั่นคือ การที่หายจากโรคที่เป็น และมีนิสัยใหม่ คือ นิสัยธรรม ทิ้งนิสัยกรรมเดิมๆ ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ แห่งโรคนั้นเสีย

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงอยากให้สมาชิกทุกคน ได้สัมผัสซึ่งปีใหม่ที่แท้จริง

อย่าจมอยู่กับนิสัยเดิมๆ โรคก็ยังเหมือนเดิม หันมาเชื่อ ศรัทธา แล้วใช้วิธีของพระภูมี เพื่อให้ได้สัมผัสปีใหม่ ที่ไม่เหมือนคนทั้งโลก

การทานสมุนไพร จึงต้องมุ่งมั่น ยืนระยะ และพยายามสร้างพฤติกรรมใหม่ ตามคำสอนของพระภูมี เพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ เป็นปีใหม่แก่ตน

ของขวัญปีใหม่


หลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า ปีหน้าที่จะมาถึง อันเป็นการเข้าใกล้การบังเกิดของพระพุทธเจ้า นั่นเป็นสัญญาณว่า โรคที่จะมาจะทวีความรุนแรงขึ้น อย่างแน่นนอน

ดังนั้นปีหน้าที่จะถึงนี้ จึงสั่งให้แผนกสมุนไพร จัดสมุนไพรให้แก่สมาชิกในจำนวนที่มากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อสิ่งที่จะมาประการหนึ่ง

และของขวัญปีใหม่ที่จะมาถึง ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงได้จัดทำสมุนไพรเพื่อแจกเพิ่มขึ้นอีกสองสูตร

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า แม้นว่าขาหนึ่ง ในการสอนให้สมาชิก มีพฤติกรรมตามคำสอนของพระภูมี ยังไม่เข้มแข็งพอ จึงต้องเน้นขาด้านสมุนไพรให้แข็งแกร่งขึ้น เพื่อให้ยืดเวลาและโอกาสในการเรียนรู้ จนสามารถสร้างอีกขาขึ้นมาได้ เพื่อประสพความสำเร็จในการหายโรคดังตั้งใจ


วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

หายแน่ๆ

คำถามที่ผู้คนที่ผ่านมายังชมรมคนรักสุขภาพ มักจะมีคำถามที่วิทยากรต้องถูกถามทุกครั้งของการปฐมนิเทศน์

คือ หายแน่ไหม กี่วันหาย ...

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า ความแน่นอนในผลของการรักษา ขึ้นอยู่กับมือสองมือ ประสานกัน จึงจะประสพผล

มือหนึ่ง คือ มือของผู้ทำ ที่ตั้งอยู่บนฐานของคุณธรรม อันได้แก่ การทำให้ ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ทำอย่างสมบูรณ์แล้ว

หากแต่มือที่สอง อันเป็นตัวชี้วัด ถึงผลสำเร็จ นั่นคือ มือของตัวคนป่วยเอง ที่จะยื่นมาประสานกัน ไปในแนวทางเดียวกัน ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้ชี้ให้หรือไม่

ที่ที่ปลอดภัย และพระภูมีรับประกันว่าผู้ใดไปถึง ย่อมประสพผลการหายโรคอย่างแน่นอน นั่นคือ การเป็นคนดี นั่นเอง

อดีตเป็นอย่างไร ไม่สน ไม่จำเป็นต้องรับรู้ หากแต่อนาคต สามารถปรับเปลี่ยนตนให้มีพฤติกรรม เป็นคนดี ตามครรลองของพระภูมีได้ การหายโรคก็เป็นเรื่องที่ได้เป็นสมบัติของตน จากพระภูมีอย่างแน่นอน

ยาหม้อเดียวกัน ทุกคนทาน แต่มีผลมากน้อยต่างกัน เพราะเขามีวิญญาณและรับรู้พฤติกรรม ผลที่ออกมาจะมากน้อย ก็ขึ้นกับพฤติกรรมที่ทำได้ เมื่อทำถูกผลถูกก็เกิด เมื่อทำผิด แม้นจะทานมากสักฉันใด ก็ยากจะหาผลได้

ปัญหาคือ คนดีของพระภูมีเป็นเช่นไร นี่แหละเราท่านจึงต้องฟังจากคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วพิจารณา น้อมนำมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตน ให้เดินไปในแนวทางนั้น

จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนเชื่อ เพราะทุกคนล้วนมีความรู้เดิมกันมาอย่างมากมาย สิ่งนี้จึงต้องอาศัยเหตุผล มาพิจารณาให้เห็นจริง เพื่อหักล้างความคิดเดิมของตน

และดูผลจากการกระทำนั้นๆ ว่าผลเป็นเช่นไร

สิ่งนี้จึงเป็นเหตุที่ต้องมีการบังคับให้ฟังคำสอน เพื่อให้นำไปเป็นเหตุเป็นผลพิจารณาหักล้างความคิดเดิมของเราท่านนั่นเอง เมื่อไม่ฟัง ก็ไม่เกิดพิจารณา ก็ขาดน้ำหนักที่จะหันเหให้เดินไปตามที่หลวงพ่อนิพนธ์กำลังจูงให้ไปยืนในที่ปลอดภัยนั่นเอง

อันหมายความว่า ท่านกำลังสะบัดมือหนีจากผู้ที่จะนำไปยังที่ปลอดภัย เราท่านจึงหลงทาง เหมือนเดินวนในอ่าง สิ่งที่เป็น ก็เลยไม่สามารถแก้ได้ หรือ ทำได้ยาก

คำตอบที่จะตอบคำถามที่มีต่อวิทยากร ว่า หายไหม หายแน่หรือ จึงกลายเป็นคำถามที่ต้องย้อนกลับไปหายังตัวเราท่านว่า "มือของเรา จับอยู่กับใคร ใช่หลวงพ่อนิพนธ์หรือไม่ นั่นเอง"

ประกาศเจตนา

สิบกว่าปีก่อน หลวงพ่อนิพนธ์ได้ขอซื้อที่ดินผืนหนึ่งจากกระเหรี่ยง ที่ศรีสวัสดิ์

ผืนดินอันที่เดินทางไปด้วยรถอย่างยากลำบาก แลพื้นที่มีน้ำล้อมรอบสามด้าน ส่วนด้านที่เหลือ ติดกับป่าสงวน โดยมีถนนคั่นกลาง

ผืนดินแห่งนี้ แทบจะไม่มีไม้ใหญ่ เพราะกะเหรี่ยงเจ้าของที่ใช้ทำไร่ แต่หลวงพ่อนิพนธ์พิจารณาดูแล้ว มีสิ่งที่ชอบอยู่หลายประการ

ประการที่หนึ่ง ผืนดินแห่งนี้เดินทางถึงได้ยาก จึงมีความสงบ

ประการที่สอง ผืนดินแห่งนี้ อยู่ในชัยภูมิที่มีอากาศค่อนข้างบริสุทธิ์

ประการที่สาม ผืนดินแห่งนี้ มีต้นมะขามป้อมอยู่สี่ห้าต้น และมีต้นสมออยู่สองสามต้น อันเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่ามาก ที่ซึ่งปกติสรรพสัตว์จะใช้ทานเป็นยา

เมื่อสามารถซื้อได้ สิ่งหนึ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์จำคำสอนของแม่ชีเมี้ยนไว้จนขึ้นใจ นั่นคือ "การประกาศเจตนา"

ท่านจึงประกาศเจตนา ณ ผืนดินนั้นว่า จะทำนุบำรุงผืนดินนี้ ให้เป็นที่คนทุกข์ได้มาพึ่งพิง จะไม่เอามาหาประโยชน์ใส่ตนเป็นอันขาด

ผืนดินแห่งนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้เริ่มส่งพระไปพำนักอาศัย และได้เป็นที่สำหรับผู้ป่วยยาเสพติดเป็นจำนวนไม่น้อย รวมทั้ง ผู้ป่วยเอดส์ อีกมากมาย

มาถึงวันนี้ แผ่นดินนั้น มีต้นมะขามป้อมเกือบห้าร้อยต้น มีต้นสมอกว่าร้อยต้น หากแต่เมื่อเดินออกจากพื้นที่นั้นไป แม้เพียงข้ามถนน ก็ไม่สามารถพบต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้เลยสักต้นเดียว

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่า "คนดีฟ้าดินคุ้มครอง" การประกาศเจตนา จึงได้รับการตอบรับจากฟ้าดิน อุปมาฟ้าดินเป็นใจส่งเสริมให้ทำความดีนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ชี้ให้เห็นว่า เคล็ดอันนี้สามารถใช้ได้กับการรักษาตนเช่นเดียวกัน หลายคนที่ประกาศเจตนาเพียงแค่ว่า "ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ไม่ว่าฟ้าถล่มดินทลาย ก็จะมาทำกิจกรรมทุกสับดาห์"

คนเหล่านั้น ก็สามารถยืนหยัดมีชีวิต มาจนทุกวันนี้

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบายว่า สิ่งนี้เรียกว่า "สัญญา" นั่นเอง

สัญญาที่ทำกับแม่ชีเมี้ยน กับพระภูมี ย่อมมีน้ำหนัก และมีผลทำให้ชีวิตเหนียวแน่น

เพราะแม่ชีเมี้ยน พระภูมี มีตัวมีตน และมีอำนาจเอาชนะกรรม

ในขณะที่สิ่งอื่นใดในโลก ล้วนแต่มนุษย์สร้างขึ้น จึงเป็นลม ผลของการทำจึงไม่มีน้ำหนัก ช่วยตนไม่ได้เลย

วิธีนี้ใครมั่นใจว่าทำได้ ก็ลองดูได้ และลองดูผลที่พึงเกิดกับตน ว่าจะเป็นเช่นไร

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าววว่า ในอดีตท่านจะบังคับให้คนป่วยทุกคน ทำสัญญากับแม่ชีเมี้ยน กับพระภูมีทุกคน อาทิเช่น ไม่โกรธวันละสองชั่วโมง ไม่ใช้ผู้อื่นวันละสองชั่วโมง เป็นต้น

เจตนา บ่งบอกสิ่งที่กระทำ ... แม่ชีเมี้ยนตรัสว่า สมุนไพรรู้ใจคนทาน แลผลที่จะพึงเกิด ย่อมมีแต่กับคนดี เท่านั้นเอง

ใครว่า เจตนาไม่สำคัญ.. แต่ที่นี่... หากท้ายที่สุดไม่เจตนาเพื่อเป็นคนดีแล้วไซร้ อนาคตก็เห็นแต่วันนี้ว่าผลจะออกมาเช่นไร..

หลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตนเองไม่ได้หรอก ยิ่งตาฟ้าดินด้วยแล้ว ... ยิ่งไม่มีทาง

ก็เจตนาของพระภูมี ในการนำธรรมและสูตรสมุนไพรมาให้มนุษย์ สิ่งที่ต้องการ ไม่มีอื่นใดเลย นอกจาก "คนดี" เท่านั้นเอง

การประกาศเจตนาเป็นคนดี จึงเป็นการกตัญญูแก่พระภูมี นั่นเอง

ผลของการกระทำนี้ จึงมีผลอันมหาศาล... เป็นปาฏิหารย์ ให้ได้สัมผัสนั่นเอง

เราจึงไม่แปลกใจเลยที่มักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอว่า "โรคอะไรก็ไม่น่ากลัว กลัวแต่นิสัยของคนคนนั้น"

วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ผลของการทำให้

ผู้หญิงระดับไฮโซของเมืองไทยท่านหนึ่ง เป็นหลานของคุณหญิงบุญเรือน ชุณหวัณ

เมื่อได้รับประกาศิต วาจาอมตะจากหมอ ในอาการของเธอ คือ รูมะตอยด์ ขั้นที่ ๔ จนอาการของเธอ ต้องอยู่บนรถเข็นไป แลรอวันตายที่จะมาในอีกไม่นาน

ชะตาวนเวียน เธอได้มาถึงหลวงพ่อนิพนธ์ และด้วยสภาพที่เป็น ก็ปลงตก ด้วยหวังแต่เพียงว่า วันเวลาที่เหลือจนสิ้นลมของเธอ เพียงขอให้ไม่ต้องทรมานจากการปวดที่แสนสาหัสก็ถือว่าโชคดีที่สุดแล้ว

และเมื่อเธอมาพักที่ชมรมคนรักสุขภาพ และพบเจอเพื่อนสมาชิก ที่มาพักรักษาตัวเช่นกันกับเธอ โดยเฉพาะกลุ่มโรคมะเร็ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์จับมาเข้าคอร์สสมุนไพร

วันเวลาผ่านไป ได้คุยกันสนิทกัน เธอจึงเกิดความคิดของการให้ขึ้น อันมาจากฝีมือการทำคุ๊กกี้ ที่แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ๋ยังต้องมาขอซื้อสูตรของเธอ

เธอจึงขออนุญาตหลวงพ่อนิพนธ์ เพื่อถ่ายทอดวิชาให้แก่กลุ่มคนไข้มะเร็งที่ต้องการเรียนรู้ไปประกอบอาชีพ โดยเริ่มจากการช่วยกันทำขาย หารายได้ให้แก่ชมรมคนรักสุขภาพ เพื่อเป็นทุนซื้อสมุนไพร

ด้วยจุดเริ่มแห่งการให้นี้เอง ทั้งเธอและกลุ่มคนไข้มะเร็ง ก็ตั้งใจเรียนรู้ เพื่อสานเจตนาอันนี้ให้สำเร็จ ดังที่พวกเขาตั้งใจ

ทุกวัน หลายคนจึงเห็นคนกลุ่มนี้ ช่วยกันทำ ในเช้าพฤหัส และอาทิตย์ จนถึงตีสามเป็นประจำ

มาวันนี้ คนสอนที่เป็นรูมะตอยด์ รอตายบนรถเข็น กลับมาเดินได้ ลูกมือที่เป็นมะเร็ง ซึ่งล้วนแต่ระยะสุดท้าย กลับมาแข็งแรง ทำงานจนคนปกติอาย

วาจาอมตะ ที่ให้นับวันถอยหลัง จากหมอ สำหรับคนกลุ่มนี้ ที่ทำให้จิตหดหู่ มาวันนี้ ไม่เคยพูดถึงกันอีกเลย

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้เห็น คำตรัสของพระภูมี "ให้สุขแก่เขา สุขนั้นถึงตัว"

จากหนึ่งมาเป็นสอง จนเกิดจิตอาสาทำของมาขายกันมากมาย เพราะเห็นตัวอย่าง ยิ่งทำตามก็ยิ่งเห็นผลแห่งการให้

ผลการกระทำของพวกเขา ทำให้เกิดรายได้ นำไปซื้อสมุนไพร แลให้สุขแก่ผู้ที่ทุกข์จากโรค ได้หายโรค .... ค่ามันจึงมหาศาล ย้อนกลับมาให้สุขแก่ตน

การกระทำตามคำสอนของพระภูมี ดูเรียบง่าย เล็กน้อย แต่ให้ผลมหาศาล

นี่แหละพระภูมีทรงเรียก "กุ้งฝอยตกปลากระพง"

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า "ใครจะคิดว่ามาทำกิจกรรมแล้วต้องเสียนั่นเสียนี่ อันเป็นการเสียเปล่า แท้ที่จริง สิ่งที่ตอบแทนกลับไปมหาศาลนัก จะเสียก็แต่ บุญเป็นสิ่งที่เขาเหล่านั้นทำ มันมองไม่เห็น จึงไม่รู้ค่า"

โลกสอนให้หาสุขจากการกอบโกยจากผู้อื่นมาสู่ตน ผลที่ได้ กลายเป็นทุกข์ หากแต่พระภูมี ทรงสอนให้หาสุข โดยการให้สุขแก่ผู้อื่นก่อน จึงได้สุขย้อนมาสู่ตน ....

ภาพที่เห็น จึงเป็นตัวอย่างให้เห็นแจ้ง ในความจริงข้อนี้ ...

พหูสูตร

หลวงพ่อนิพนธ์ มักย้ำเสมอว่า สิ่งที่ใช้สิ่งที่ทำ ไม่ใช่มาจากความคิดของตัวท่านเอง หรือ ของใคร หากแต่เป็นความรู้ของพระภูมี

ไม่ว่าจะโดยบังเอิญ หรือ ด้วยเหตุใดก็ตาม ที่แม่ชีเมี้ยนได้ทราบได้รู้ความรู้นี้ แล้วมาถ่ายทอดให้แก่พระถ้ำกระบอก

แลก่อนเรียน สิ่งหนึ่งที่แม่ชีเมี้ยนได้บอกกล่าวแก่ พระ ๔ เณร ๓ ในยุคก่อสร้างถ้ำที่แม่ชีเมี้ยนพาขึ้นถ้ำกระบอกนั้น นั่นคือ "คำสาปอันมหาศาลของพระภูมี ที่มีต่อความรู้นี้"

นั่นคือ "ใครนำไปทำให้ เจริญแน่ ใครนำไปหาประโยชน์ใส่ตน ฉิบหายแน่"

เมื่อพระเณรทั้งคณะตกลงใจ แลให้สัตย์สาบานต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงเริ่มเรียนวิชานี้ด้วยกัน

ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์ จึงต้องย้ำเสมอว่า สิ่งที่นำมา และสอน ไม่ใช่ของท่าน ไม่ใช่ของแม่ชีเมี้ยน แต่เป็นภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้า

เมื่อพระภูมี ทรงมีปัญญาเหนือโลก คือ เหนือกรรม ความรู้ของท่านจึงเอาชนะกรรมได้ แลเมื่อโรคเกิดแต่กรรม ภูมิปัญญาของท่านจึงพิชิตโรคได้นั่นเอง

ด้วยความเป็นพหูสูตร รู้แจ้งเห็นจริงของธรรมชาติ แลจักรวาลของพระภูมีนี้เอง

สิ่งที่แสดงความโดดเด่นในภูมิรู้อันนี้ นั่นคือ สูตรสมุนไพรของท่าน จึงเป็นสูตรครอบจักรวาล นั่นคือ สามารถใช้ได้กับทุกโรค

เพราะสูตรของพระภูมี พิจารณามนุษย์เป็นอาการ ๓๒ มีธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นองค์ประกอบ จึงเป็นสูตรเพื่อสังคายนาธาตุนั่นเอง

ความเป็นจริงข้อนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ยกตัวอย่างให้เห็น อันได้แก่ กรณีของคุณธานินทร์ อินทรเทพ ที่เป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ กับ คุณปรียานุช ปานประดับ ที่เป็นโรคกระดูกบาง

ทั้งสองต่างก็ทานสมุนไพรสูตรเดียวกัน หม้อเดียวกัน

สมุนไพรจึงเป็นวัตถุดิบ ที่ให้ร่างกายได้นำไปใช้แก้ไข ตามแต่ที่ร่างกายวินิจฉัย

สถานที่นี้ จึงไม่จำเป็นต้องมีหมอวินิจฉัย เพราะหมอไหนก็ไม่สู้ร่างกายตน

สถานที่นี้ จึงไม่จำเป็นต้องมีหมอรักษา เพราะหมอไหนก็ไม่สู้ตัวของเราเอง ที่รู้ดีที่สุดว่า เราเป็นอะไร แลต้องแก้อย่างไร

แต่ที่เราแก้ไม่ได้ ก็เพราะขาดภูมิรู้ ในเรื่องสมุนไพรนั่นเอง

สิ่งที่คนทั่วไปขาด คือ ภูมิรู้ในสมุนไพร จึงไม่สามารถหาวัตถุดิบมาให้ร่างกาย ซ่อมแซมตัวเองได้

บางคน ไม่รู้ ก็กล่าวว่า คนนี้เป็นโรคนั้น คนนั้นเป็นโรคโน้น ก็ให้สมุนไพรตัวเดียวกัน เหมือนกันหมด ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะอาการ และสิ่งที่เป็นไม่เหมือนกัน

นี่แหละ ทำให้เราท่านได้เห็นความเป็นพหูสูตรของพระภูมี สามารถทำให้ใช้ได้ครอบจักรวาล ในอาการของมนุษย์

แม่ชีเมี้ยนจึงได้ตรัสแก่หลวงพ่อนิพนธ์ เมื่อครั้งสอนสมุนไพรให้ว่า "ไม่ต้องเสียใจดอก หมอทั่วไปรักษาคนไข้ห้าคนสิบคน ก็หืดขึ้นคอแล้ว แต่สูตรสมุนไพรของพระภูมีที่ฉันสอน ท่านสามารถใช้ช่วยคนพร้อมกันทีเดียว เป็นแสนคนก็ทำได้ ถ้าคนเหล่านั้นเขาเชื่อท่าน"

วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทางตัน

ความจริงที่ปรากฎ และเริ่มจะประจานความสามารถ หรือ คำคุยโม้โอ้อวดในการรักษาโรค ของวิทยาศาสตร์ นั่นคือ จำนวนผู้ป่วย และผู้ที่เสียชีวิต จากโรคต่างๆ ขององค์การอนามัยโลก ที่ชึ้ให้เห็นว่า มีแต่เพิ่มมากขึ้น นั่นเอง

นั่นคือ สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์ มักกล่าวเสมอในการสอนว่า ด้วยความรู้ของมนุษย์ ในไม่ช้าก็จะถึงทางตัน นั้นเอง

เหตุที่ถึงทางตัน ไม่ใช่มนุษย์ไม่รู้ที่มาที่ไป หากแต่รู้แล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไร หรือ เข้าถึงได้นั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบาย ว่า นักวิทยาศาสตร์ มีความสามารถในการค้นคว้าหาสาเหตุ ว่าอะไรเป็นแหล่งต้นตอ ของการเกิดโรค ได้ อย่างไม่ยากเย็น

และสิ่งที่ค้นพบ ก็พบมานาน แต่ทำอะไรไม่ได้ นั่นคือ ต้นกำเนิดหรือแหล่งที่ทำให้แต่ละคนเกิดโรค คือ "สมอง" นั่นเอง

เมื่อสมองสั่ง ร่างกายจะทำงาน ดังนั้น เมื่อโรคเกิดจากการทำงานของร่างกายที่ผิดปกติ นั่นคือ สมองมันสั่งให้เป็นเช่นนั้น

แต่ด้วยความจำกัดของวิทยาการในศาสตร์ของมนุษย์ "สมองเป็นดินแดนลี้ลับ"

อันหมายความว่า ด้วยวิทยาการที่มี ไม่สามารถเข้าถึงความซับซ้อนของสมองได้นั่นเอง

มนุษย์ จึงต้องอาศัยการแก้ที่ปลายเหตุ ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ กล่าวว่า อุปมากับการดูดควันนั่นเอง

ผลก็คือ สิ่งที่ช่วยได้ คือ บรรเทาหรือลดอาการที่ปรากฎ หากแต่ไม่สามารถแก้โรคได้นั่นเอง

หากแต่ด้วยภูมิปัญญาของพระภูมี ผู้ซึ่งรู้แจ้งเห็นจริงในจักรวาล นั่นคือ ธรรมชาติ รวมถึงธรรมชาติของมนุษย์ สรุปมาเป็นข้อความสั้นๆ ประโยคเดียว "มนุษย์เป็นไปตามกรรม"

หลวงพ่อนิพนธ์ได้ขยายความให้ฟังว่า นั่นหมายถึง กรรม เป็นต้นอำนาจ ที่ใช้สั่งสมองของเราท่าน ให้ทำไปตามกรรมที่ทำมานั่นเอง

แม่ชีเมี้ยนจึงมักตรัสสอนสงฆ์ ให้ระวังตนให้ดี จำไว้น่ะ "กรรมมันใช้ กรรมมันสั่ง แล้วเป็นทุกข์"

การแก้โรค จึงกลายเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ทำอย่างไรก็แก้ไม่หมด จับโน่นโผล่นี่

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า การใช้สมุนไพรเพียงลำพัง จึงไม่เพียงพอ เพราะจะเข้าทำนอง "หนีเสือปะจรเข้"

ตัวอย่างที่ยกมาให้ฟังเสมอ ก็ดังเช่น ท่านจันทร์ ที่มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ ในขณะที่สถานะเป็นพระ อันเหตุที่ต้องไปบวชคือ การติดเชื้อเอดส์ มาจากการไปเป็นลูกเรือจับปลา จนทำอะไรไม่ได้

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ให้ท่านจันทร์ ให้สัจจะ เมื่อหายจะทำตนเป็นคนดี ทำตนเป็นประโยชน์ ช่วยคนที่มาทีหลังต่อไป สักระยะเวลาหนึ่ง

ท่านจันทร์ตอบตกลง และได้มาพักอาศัยที่วัดของหลวงพ่อนิพนธ์เลย เพื่อรักษาตน

เวลาผ่านไปไม่นาน ท่านจันทร์ จากที่ร่อแร่ใกล้ตาย กลับมาแข็งแรง สามารถไปเดินธุดงค์กับคณะได้ การธุดงค์ผ่านไประยะหนึ่ง ท่านจันทร์ก็มั่นใจว่าตนหายดี แข็งแรง ดังเดิม ก็เบี้ยวกลางธุดงค์ หนีกลับ

ผ่านไปครึ่งปี แม่ของท่านจันทร์ ได้มาหาหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วแจ้งว่า ท่านจันทร์ ป่วยเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง และเสียชีวิต

หมอวินิจฉัยว่า ตรวจไม่พบเชื้อเอดส์ และแจ้งสาเหตุการตาย ด้วยน้ำท่วมปอด

สิ่งที่เราท่าน กำลังเผชิญ นั่นคือ กรรม อันอุปมาเหมือนน้ำที่เปิดจากก๊อกใส่แก้ว การรักษาก็อุปมาเหมือนนำน้ำในแก้วออก ไม่ว่าจะนำน้ำออกจนหมดหรือไม่ก็ตาม ตราบใดที่น้ำจากก๊อก คือ เราท่านยังทำกรรมเพิ่มอยู่ มันก็ไหลลงมาในแก้วไม่รู้จักหมดจักสิ้น จะช้าเร็วมันก็ต้องล้น คือ หนีตายไม่พ้น

วิธีการที่พระภูมีทรงตรัสรู้ เพื่อทะลุทางตัน ก็คือ หยุดกรรมที่จะทำใหม่นั้นเสีย นั่นคือ การเอาธรรมของท่านมาใช้เป็นเครื่องมือบังคับพฤติกรรมของเราท่านนั่นเอง

เมื่อหยุดกรรมใหม่ได้ กรรมเก่าในแก้ว ค่อยๆ ใช้ น้ำก็จะค่อยๆ ถูกดูดออก ช้าเร็วตามความสามารถ แต่ท้ายที่สุดมันก็ต้องหมด

สิ่งที่น่าเสียดายที่หลวงพ่อนิพนธ์สอนคือ มนุษย์ให้ลำดับความสำคัญ แก่สิ่งที่มีผลต่อชีวิตผิด เรื่องง่ายจึงกลายเป็นเรื่องยาก

ธรรมของพระภูมี ผู้ใดทำเต็มที่ มีผลถึงนิพพาน

หากพูดกันถึงเรื่องหายโรค เป็นความหวังที่แทบจะไม่ต้องพูดเลย เป็นเรื่องกระจอกมาก ถือได้ว่าเป็นแค่เรื่องติดปลายนวม หรือของแถมเท่านั้นเอง สำหรับพระภูมี

ในยุคถ้ำกระบอก แม่ชีเมี้ยนจึงให้พระสอนญาติโยม ที่มากันเรือนหมื่นเรือนแสน เน้นที่การนำธรรมคำสอนของพระภูมีไปปฏิบัติ รวมทั้งปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้สอดคล้องกับธรรมคำสอน ส่วนเรื่องโรค ไม่ต้องพูดถึง หรือกังวลเลย

ก็ด้วยเหตุที่ธรรมของพระภูมี มีอำนาจเหนือกรรม เมื่อปฏิบัติได้ ก็เท่ากับ ปิดก๊อกน้ำ หรือ หรี่น้ำจนเหลือน้อยแล้ว งานที่เหลือ ก็เพียงหน้าเดียว คือการเอาน้ำในแก้วออก อันเป็นหน้าที่สมุนไพร

ก็แค่รอเวลา น้ำในแก้วลดและหมดไป ซึ่งจะเห็นว่า ไม่มีทางที่น้ำจะล้นแก้วเด็ดขาด เพราะน้ำที่ลดมันเร็วกว่าน้ำที่เติมนั่นเอง

ด้วยเหตุผลอันนี้ หากอุปมาน้ำเต็มหรือล้นแก้วแล้วต้องตาย พระจึงมั่นใจว่า หากไม่ใช่พรหมลิขิตถึงที่ตายแล้ว คนที่ปฏิบัติและทำ จะไม่มีทางที่จะตายด้วยการปฏิบัติดังเช่นที่แม่ชีเมี้ยนสอนได้เลย

และหากยืนระยะได้ ช้าเร็ว น้ำก็ต้องหมด โรคก็ต้องหายอย่างแน่นอน

สิ่งที่ดีกว่านั้น ที่ว่างในแก้ว ไม่ใช่สำหรับน้ำอีกแล้ว แต่เป็นบุญที่ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตแทน

นี่จึงเป็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา ทำไมจึงต้องมีพระพุทธเจ้า ก็เพื่อเป็นต้นอำนาจ ให้เราท่านได้รับคำสอนมาปฏิบัติ ชี้ให้เห็น "กรรม" และกำหนดพฤติกรรมอันเป็นบุญ ให้เราท่านปฏิบัติ เพื่อหยุดกรรมนั้นๆ นั่นเอง

โลกที่วิกฤตทุกวันนี้ แม่ชีเมี้ยนจึงตรัสว่า ไม่ต้องสงสัยเลย ก็เพราะมนุษย์มันห่างศาสนามาไกล จนไม่กลัวการทำกรรม ผลที่สะท้อนกลับมา กรรมรวมของมนุษย์จึงย้อนกลับมาทำลายมนุษย์เอง จึงต้องมีพระพุทธเจ้าเพื่อมาดับทุกข์เข็ญ นั่นเอง

อยากเห็นอำนาจกรรม ลองพิจารณาสิ่งที่ท่านเป็น ดูว่า ...

ตัวท่านก็ยังเป็นท่าน นาทีนี้เป็นสุข นั่นคือ กรรมดีมันสั่ง แต่อีกนาทีถัดมา กรรมชั่วมันสั่ง ปวดหัวจนแทบจะระเบิด นอนดิ้นไปดิ้นมา ทำอย่างไรก็ไม่หาย พอหมดครบเวลาใช้กรรมปุ๊บ ก็หายขึ้นมาเฉยๆ ซะงั้น

นี่แหละ เพราะความรู้มนุษย์เข้าไม่ถึงกรรมจึงถึงทางตัน แค่ปวดท้องก็แก้ไม่ได้ กันไม่ได้ อย่างดีก็ทานยาแก้ปวด แก้ที่ปลายเหตุเท่านั้นเอง

กรรมมันแค่มาทรมานต่างหาก ไม่ได้มาฆ่าให้ตาย มันจึงหาย...

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้เห็นลำดับความสำคัญของการมาที่นี่ว่า ควรลำดับให้ถูก ที่นี่มีแม่ชีเมี้ยน มีพระพุทธเจ้า มีสมุนไพร

ควรมาหาแม่ชีเมี้ยน มารับและปฏิบัติธรรมของพระภูมี เพื่อสร้างบุญไว้เลี้ยงตน

ส่วนสมุนไพร และการหายโรค นั่นมันของแถม อันเป็นอุปมาเหมือนของรับขวัญที่พระภูมีทรงให้แก่สาวก เป็นสมบัติเบื้องต้นต่างหาก

เราท่านจึงถูกสอน ให้มุ่งหวังสมบัติอันสูงสุด รอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ และได้เกิดในดินแดนนั้น และกล่าวเจตนาทุกครั้ง ในการทำกิจกรรม นั่นคือ ...

"ข้าพเจ้า ปรารถนา มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑"

หากจะมาแค่รับสมุนไพร .... หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ช่างน่าเสียดายยิ่ง มาถึงที่ กลับเข้าตำราโบราณ "มีตาหามีแววไม่"

แม่ชีเมี้ยน ชี้ให้เห็นขุมทรัพย์ของพระภูมีว่า "แหล่งรวมคนทุกข์ คือแหล่งบุญ"

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้สร้างแหล่งรวมคนทุกข์ไว้ให้แสวงบุญแล้ว แต่เราท่านมาถึง กลับเฉยเมย จะรับแต่สมุนไพร ไม่เอาบุญไปเลี้ยงตนเลย...

ท้ายที่สุดหลวงพ่อนิพนธ์ ก็กล่าวว่า เมื่อสุดทางของอำนาจสมุนไพร คนๆ นั้น ก็จะถึงทางตัน เฉกเช่นเดียวกับคนทั่วไป ที่ใช้ความรู้ของมนุษย์เช่นกัน ...

ต่อให้ทานมากสักเท่าไร ก็หาเป็นผลไม่ พระภูมีเรียกคนเหล่านี้ว่า "เป็นคนดิบ เกินกว่าที่จะทำให้เป็นคนดีได้" นั่นเอง

ทำได้เพียงอย่างเดียว คือ "อุเบกขา" อยากกินกินไป

การมาจึง เน้นกันที่ มาสร้างบุญ ตามคำสอนพระภูมี แล้วได้สมุนไพรแถมติดมือ กลับบ้าน ... นี่แหละจึงจะทะลุทางตันที่เจอะเจอได้ เพราะเราอยู่ได้ต้องอาศัยบุญเลี้ยง เป็นสำคัญ จึงจะปลอดภัย

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประกาศห้องสวดมนต์


อ.อร่าม ได้มีประกาศ เรื่อง "ห้องสวดมนต์" เพื่อแจ้งให้เหล่าสมาชิกทราบดังนี้

เนื่องด้วยในช่วงที่ผ่านมา เริ่มมีสมาชิกร้องเรียน เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับห้องสวดมนต์ อันเนื่องจากมีเพื่อนสมาชิก ไม่รักษาสิทธิของผู้อื่น นั่นคือ ขณะทำกิจกรรม สวดมนต์ และฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ได้มีพฤติกรรมรบกวนเพื่อนสมาชิก ทำให้ไม่สามารถทำกิจกรรมได้ หรือ ไม่มีสมาธิเกิดขึ้น

พฤติกรรมดังกล่าว อาทิเช่น ใช้โทรศัพท์ อ่านหนังสือ เล่นเกมส์ ฟังวิทยุ คุยกัน เล่นกัน ...

ดังนั้น คณะกรรมการชมรม ได้ลงมติเอกฉันท์ เพื่อจัดการปัญหาดังกล่าว โดยได้ทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดในห้องสวดมนต์

ทั้งนี้ เมื่อมีเพื่อนสมาชิกร้องเรียน ในการกระทำของบุคคลดังที่กล่าว คณะกรรมการจะเปิดดู และพิจารณา การกระทำ

หากการกระทำเป็นจริง คณะกรรมการจะวินิจฉัย บทลงโทษแก่สมาชิกนั้นๆ ตามสมควร

อ.อร่าม แจ้งให้ทราบว่า บทลงโทษขั้นสูงสุด คือ ให้สมาชิกท่านนั้น ออกจากการเป็นสมาชิกของชมรม อย่างถาวร รวมถึงกลุ่มญาติเครือญาติ ที่ใช้นามสกุลร่วมกัน ต้องร่วมรับผิดชอบ นั่นคือ ต้องออกจากการเป็นสมาชิกเช่นกัน

ทั้งนี้ เนื่องด้วย หลวงพ่อนิพนธ์ ได้กล่าวเสมอในการสอนทุกครั้งว่า "โรคมันกลัวความสงบ" ดังนั้น จึงต้องสร้างสภาวะดังกล่าว เพื่อตนและผู้อื่น

การไม่ให้ความร่วมมือ จึงเสมือนหนึ่ง เจตนาทำร้าย หรือ ฆ่าผู้อื่น อันถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง

จึงประกาศให้ทราบ และพึงขอให้มีสติ หากพบเห็นใครในกลุ่มตนมีพฤติกรรมดังกล่าว ก็ช่วยว่ากล่าวตักเตือน

เพื่อให้สถานที่ของแม่ชีเมี้ยน เป็น "สถานที่ช่วยคน ไม่ใช่ สถานที่ฆ่าคน"

ประกาศเรื่องขวด


หลวงพ่อนิพนธ์ ได้ประกาศว่า การเริ่มให้ซื้อขวดจะเริ่มตั้งแต่ ปีใหม่ และไม่บังคับว่าจะซื้อหรือไม่

สำหรับผู้ที่จะซื้อ จะมีเจ้าหน้าที่จดรายชื่อ และยอดซื้อ เพื่อรวบรวมไปซื้อครั้งต่อไป

และในการซื้อนั้น หลวงพ่อนิพนธ์ได้ให้แนวทางๆ ว่า กิจกรรมนี้เป็นการกระจายให้ทุกคนได้มีโอกาสทำหน้าที่ของตน

ดังนั้น จึงไม่อนุญาตให้คนใดคนหนึ่ง ซื้อเป็นจำนวนมากแต่เพียงผู้เดียว โดยกำหนดปริมาณสูงสุดต่อคน ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ขวด

ยกเว้นในครั้งแรกที่กลุ่มคนไข้ ผู้ซึ่งเป็นกรรมการ ได้ขออนุญาต เพื่อให้เป็นปฐมฤกษ์ จำนวน ๕๐,๐๐๐ ขวด เพื่อใช้ในการเริ่มกิจกรรม

หมายเหตุ ผู้ใดไม่มีความประสงค์จะซื้อ ก็ไม่เป็นไร สามารถรับสมุนไพรได้ตามปกติ

สำหรับขวดน้ำที่ซื้อไปทาน รวมทั้งขวดสมุนไพร หากมีความต้องการจะนำกลับมาให้ชมรมใช้งานอีกครั้ง ก็ยินดีรับเหมือนเดิม

หากแต่ต้องให้เป็นภาระของแต่ละคน ทำความสะอาดให้เรียบร้อยพร้อมใช้ เนื่องด้วยจะได้ลดจำนวนคนที่มาทำกิจกรรมในการคัด ล้าง และจัดเก็บภาชนะ ลง ให้มากที่สุด แล้วย้ายไปในส่วนอื่นที่ต้องการกำลังคน ที่ซึ่งจำเป็น อาทิ แผนกจัดเตรียมสมุนไพร

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

กลุ่มของสมุนไพร

สมุนไพรสูตรพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ มีมากมายหลายสิบสูตร หากจะแบ่งกลุ่มง่ายๆ ตามการใช้งาน ก็แบ่งเป็นสองแบบ

แบบแรก เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการปรับสมดุลย์ ของธาตุทั้งสี่ของร่างกาย อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง

ซึ่งก็เป็นสมุนไพรทั่วไป ที่เราท่านได้รับกันประจำอยู่แล้ว

สมุนไพรกลุ่มนี้ จึงมีหน้าที่ ฟื้นฟูอวัยวะ สร้างภูมิต้านทาน และทำให้อยากอาหาร เพื่อให้ร่างกาย กลับมามีอวัยวะที่สมบูรณ์ และมีวัตถุดิบที่ใช้ไปในการฟื้นฟูร่างกายนั่นเอง

กลุ่มที่สอง เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพร ที่ใช้เพื่อแก้ไขอาการปัจจุบันทันด่วยที่เกิดขึ้น อันเป็นผลจากโรคที่เป็น อาทิเช่น สมุนไพรที่ใช้ดูดหนอง สมุนไพรที่ใช้ในการประคบ ใช้สูดดม ใช้รม ...

สมุนไพรส่วนที่สองนี้ จึงเป็นสมุนไพรที่เหล่าสมาชิก ต้องไปแจ้งอาการให้เจ้าหน้าที่ ปกติ ก็มักจะเป็นคุณดา คุณปุ้ม ทราบ เพื่อจัดสมุนไพรดังกล่าวเสริมให้เป็นรายๆไป

โดยจะสามารถขอได้ในตอนเช้า ที่ห้องอบรม บนอาคารมูลนิธิไทยกรุณานั่นเอง

หากแต่สงสัย หรืออยากรู้ว่า โรคที่เราเป็น อาการที่เกิด วิธีแก้ไข ก็สามารถไปพบวิทยากร ที่ตู้ประชาสัมพันธ์สีเหลือง ด้านหน้าบริเวณทางเข้า เพื่อขอคำปรึกษา

หากวิทยากรเล็งเห็นว่า กรณีไหนจำเป็นต้องให้หลวงพ่อนิพนธ์วินิจฉัยหรือจัดสมุนไพรให้เป็นกรณีพิเศษ วิทยากรก็จะจัดให้เข้าพบ

ผลแพ้ชนะที่หลวงพ่อนิพนธ์มักจะพูดว่า มีโอกาส หรือไม่ ก็วัดกันที่ "การกิน"

ซึ่งมักจะพูดเล่นๆเสมอว่า "หากยังกินได้ ก็ไม่ตาย"

เพราะการกินเป็นปัจจัยหลักในการส่งเสบียงและเวชภัณฑ์ให้แก่ร่างกาย ดังนั้น จึงต้องระวังเรื่องการกินให้มาก หากมีกรณีฉุกเฉิน ทำให้ทานไม่ได้ หลายวัน ไม่ควรรอจนร่างกายทรุดโทรม ควรที่จะพาไปให้น้ำเกลือ จนพ้นวิกฤตกลับมาทานได้เหมือนเดิมก่อน

ปัญหาประการเดียวที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวในกรณีนี้คือ ไปแล้วหมอไม่ยอมให้ออก เพราะเมื่อทานสมุนไพรแล้ว ตรวจค่าอะไรก็เกินไปหมด

หากแต่เมื่อร่างกายกลับมาทานข้าวได้ปกติเมื่อใด ก็ควรรีบหาทางนำคนไข้ออกมาด้วย พร้อมกับปรึกษาวิทยากร เพื่อเข้าพบหลวงพ่อนิพนธ์ ขอสมุนไพรมาเร่งฟื้นฟูด่วน

ใครที่ไม่รู้จัก คุณดา ไม่รู้จัก วิทยากร อ.อร่าม คุณณัฐนนท์ คุณปุ้ม ก็รีบไปทำความรู้จักซะ

อุบัติเหตุ

คำๆ นี้ เราท่านมักจะได้ยินหลวงพ่อนิพนธ์กล่าวเสมอ แต่มิได้หมายถึง รถชน ตกบันได ... ตามความหมายที่เราท่านใช้กันอยู่

คำกล่าวนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ใช้ประกอบ เมื่อพูดถึงความจริงของมนุษย์ข้อหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ คือ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

อันเป็นเหตุผล ที่ใช้ยืนยันว่า มนุษย์ทุกคนไม่ถึงที่ตาย ไม่วายชีวาวาต โรคห่าใดจะพิฆาตไม่อาสัญ

เป็นการชี้ให้เห็นถึงความไม่รู้ ทำให้คิดไปเองว่าสิ่งนั้นช่วย สิ่งนี้ช่วย

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักยกตัวอย่างเช่น คนจนคนรวยเป็นโรคเดียวกัน สมมุติโรคพื้นฐานปวดท้อง แล้วไปซื้อยากิน เมื่อทั้งคู่ยังไม่ถึงพรหมลิขิต ไม่ว่าจะยาเม็ดละร้อยของคนรวย หรือเม็ดละบาทของคน ทั้งคู่ก็ต้องหายเช่นเดียวกัน

ด้วยเหตุมิใช่หายเพราะยา แต่หายเพราะพรหมลิขิต

สิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือ คนจำนวนมาก เมื่อมีทุกข์ ไม่ว่าจากโรคภัย หรือ ทุกข์จากสิ่งใดก็ตามแต่ ก็มักเร่ไปให้คนนั้นช่วย คนนี้ช่วย หากเป็นโรค ไปหาหมอคนที่หนึ่ง ก็ไม่หาย คนที่สองก็ไม่หาย จนกระทั่ง เมื่อกรรมถึงเวลาผ่านไป หมอคนสุดท้ายเลยเฮง เพราะกลายเป็นว่า ทานยาไปปุ๊บ ก็หายปั๊บ จิด ก็จับทันที ยกย่อง สรรเสริญ ว่าหมอท่านนั้นวิเศษ เก่งจริงๆ หามาหลายหมอแล้วไม่หาย คนนี้ แค่วันสองวันก็หายแล้ว

เราท่านจึงมักได้ยิน คนแนะนำกัน ไปหาหมอคนนั้นซิ ฉันก็เป็นโรคเดียวกันนี้ หามาตั้งหลายหมอไม่หาย หมอคนนั้นวันเดียวหายเลย ... สุด.....ยอด

หรือแม้แต่ทุกข์อื่นๆ หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยกตัวอย่าง ความจน ให้ฟัง

หลายคนก็ไปบนบาน วัดโน้น วัดนี้ เจ้าพ่อ เจ้าแม่ หลวงพ่อนั่น หลวงพ่อนี่ ก็ไม่ดีขึ้นเลย หากแต่เมื่อถึงเวลากรรมดีมาถึง พอดีไปเห็นจิ้งจกสองหาง ยกมือไหว้ แล้วก็ได้โชคลาภ จิตก็ฝังใจ ว่า ทุกข์มาตั้งนาน พอได้ไหว้จิ้งจกเท่านั้น ก็มีลาภเลย จิ้งจกธรรมดา เลยกลายเป็นเทพเจ้าขึ้นมาทันทีทันใด ชวนคนนั้นคนนี้ มากราบไหว้

แต่เมื่อครั้นถึงที่สุด เมื่อกรรมมาถึง จิ้งจกตัวเดิม หมอคนเดิม ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า พรหมลิขิตมนุษย์นั้นเหนียวแน่นที่สุด ดังนั้น เมื่อไม่ถึงที่ตาย จะทำอย่างไรก็ไม่ตาย จึงถูกนำมาหากินกันมากมาย

หากแต่ที่ร้ายที่สุด นั่นคือ การสร้างอุบัติเหตุให้แก่ตน โดยการไปทำลายธรรมชาติ หรือระบบร่างกายของตนเอง จนเสียหาย สิ่งนี้แหละที่เรียกว่า "อุบัติเหตุ"

อาทิเช่น ตัวอย่างคนไข้สองราย

รายแรกเป็นหมอหญิง มีปัญหาด้านสายตา แล้วเลือกใช้วิธีทางการแพทย์สมัยใหม่ โดยวิธีการฉีดเสตียรอยด์ จนในที่สุดส่งผลให้ประสาทตาถูกทำลายด้วยผลของยา และท้ายที่สุด ก็รอวันที่ตาจะบอดสนิท

หากปล่อยไปตามวันเวลา ดวงตาอาจใช้เวลาเป็นสิบปี กว่าจะบอด นี่แหละเรียกอุบัติเหตุ ทำให้ต้องเสียดวงตาก่อนเวลาอันควร

รายที่สอง เป็นเด็กหนุ่มวัยประมาณยี่สิบ มีปัญหาด้านสมอง หมอแนะนำให้ผ่าตัด ฝังเครื่องกระตุ้น

ผลจากการผ่าตัด กลายเป็นช่วยตัวเองไม่ได้ ระบบการทำงานของร่างกายรวนทั้งระบบ

สิ่งนี้เรียกว่า "อุบัติเหตุของชีวิต" ทำให้ระบบเสียหายก่อนเวลา แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั่นคือ ระบบที่เสียไปนี้ร่างกายจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้หรือไม่

ในกรณีของคุณหมอ ผ่านการทานสมุนไพรมาสามสี่เดือน ปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบรับสมุนไพร เพื่อนำมาฟื้นฟู ดวงตา หลวงพ่อนิพนธ์ชี้ให้เห็นว่า อยู่ที่เลือดสามารถกลับมาเลี้ยงได้หรือไม่ และก็มีแววของปาฏิหารย์เกิดขึ้น เมื่อปรากฎเส้นเลือดฝอย ขึ้นมาเลี้ยงที่ตา อีกครั้ง นั่นคือ ร่างกายเริ่มซ่อมตัวเองได้ แต่จะได้ในระดับไหนก็ต้องรอดู

ในกรณีของเด็กหนุ่ม ผ่านการทานสมุนไพรมาเป็นปี เด็กหนุ่มกลับมาเดินได้ สมองเริ่มสามารถบังคับอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น พูดชัดขึ้น จนพ่อของเขามักพูดกับเหล่าสมาชิกว่า เสียดายที่พาลูกไปผ่าตัด แล้วฝังเครื่องกระตุ้น แล้วจึงมาได้พบสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน

มิฉะนั้นแล้ว ลูกเขาคงจะฟื้นฟูกลับมาได้ดีกว่านี้แน่ หากแต่ก็ยังได้รับความเมตตาเป็นพิเศษ เพราะหลวงพ่อนิพนธ์ได้ทำสมุนไพรเฉพาะตัวของลูกเขาให้ทาน คือ สมุนไพรฟื้นฟูสมอง โดยเฉพาะ ซึ่งก็ต้องรอดูกันเหมือนคุณหมอ ว่าร่างกายจะฟื้นฟูได้เท่าไร จนสามารถทำงานเองได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องกระตุ้นหรือไม่

บทสรุปของหลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า คนที่ไม่ผ่านเคมี ไม่ผ่านศัลยกรรม ผ่าโน่น ตัดนี่ เมื่อมาพบสมุนไพรจึงได้เปรียบ เพราะหากไม่ถึงพรหมลิขิต ย่อมไม่ตายแน่ ด้วยพรหมลิขิตของเขา เมื่อได้พบสมุนไพรที่ถูก ร่างกายย่อมสามารถฟื้นฟูกลับมา เดินจนครบพรหมลิขิตอย่างแน่นอน

ตัวอย่างที่มักยกมาให้เห็น อันได้แก่ ครูวัลลภ ผู้ซึ่งหมอจุฬา วินิจฉัยว่า เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย เหลือไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ ทางเดียวที่จะรอด คือ เปลี่ยนถ่ายหัวใจ

หากแต่ครูวัลลภ เชื่อมั่นสมุนไพร เพราะเห็นตัวอย่างจากภรรยา ที่ได้พามาหาหลวงพ่อนิพนธ์เมื่อยี่สิบปีก่อน ที่พี่น้องภรรยาทุกคน ล้วนเป็นมะเร็งตายทั้งสิ้น เหลือแต่ภรรยาที่รอดมาได้

ทุกวันนี้ ครูวัลลภ ก็ยังอยู่และฟื้นฟูตัวเองกลับมาทำงานได้เกือบปกติเต็มร้อย รับอาสาทำหน้าที่ดูแลสถานที่และแพ ที่เตรียมไว้เพื่อผู้ป่วยยาเสพติด โดยไม่ผ่านการผ่าตัดแต่อย่างใดเลย

อุบัติเหตุ จึงหมายถึง การที่เราท่านตัดสินใจใช้เคมี หรือการผ่าตัดศัลยกรรม เพื่อแก้ปัญหาที่เผชิญอยู่ จนท้ายที่สุด ผลของมันทำให้ร่างกายไม่สามารถดำรงอยู่ได้จนถึงพรหมลิขิตนั่นเอง

ที่สำคัญ อวัยวะที่ถูกทำลายจากเหตุนี้ ต้องไปวัดดวงว่า ร่างกายจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เท่าไร .....

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความรู้อะไร

แม่ชีเมี้ยน สร้างถ้ำกระบอก สร้างพระ จนโด่งดังมีชื่อเสียงระดับโลก ไม่ว่า อเมริกา อังกฤษ มหาอำนาจใด ล้วนส่งคนมาตรวจสอบ ก็ล้วนแต่ให้การยอมรับในสมุนไพรสูตรพระภูมีที่ท่านนำมาทั้งสิ้น

แล้วแม่ชีเมี้ยน มีความรู้อะไร ปล่าวเลย เป็นลูกชาวนา ต.หนองแก้ว อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ไม่เคยเรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้แม้แต่ชื่อของตนเอง

จนขณะที่ถูกกองปราบจับ แจ้งข้อหาร้ายแรง แล้วพาท่านไปพิมพ์ลายนิ้วมือ พิมพ์แล้วพิมพ์อีก จนลายนิ้วมือหาย แลหลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้กล่าวว่า คนพวกนี้นำท่านไปทรมาน ให้พึงระวังฟ้าดินลงโทษ

แลวันที่แม่ชีเมี้ยน ถูกปล่อยตัวออกจากกองปราบ กองปราบแห่งนั้น ก็ถูกฟ้าผ่า จนต้องย้ายหนี

แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า สิ่งที่ฉันมี คือ ความรู้ภูมิปัญหาของพระพุทธเจ้า จึงทำเช่นนี้ได้ แลไม่ต้องสงสัยว่า สิ่งที่สอนจะเป็นการสร้างบาป

การทำสมุนไพรให้คนกิน สมุนไพรที่ทานไปนั้น หากแม้มีผลทำร้ายต่อร่างกายของผู้ทาน นั่นคือ การทำบาป ผู้ทำย่อมหนีผลของการทำบาปนั้นไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่ได้

แต่ผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสน ที่ได้ผ่านสมุนไพรนี้ ที่ประสพผล อันเป็นข้อยืนยันได้ว่า สมุนไพรสูตรพระภูมี แลข้อปฏิบัติ ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ แก่พระและฆราวาสนั้น "เป็นสิ่งถูก" แลเมื่อทำถูก ผลถูกจึงเกิด

คนที่ทานควรจะวางใจ แลไม่ควรมีพฤติกรรมที่แสดงความรังเกียจ หรือ ตะขิดตะขวงใจ "มันจะสะอาดไหม" มัน ....


และยิ่งไปกว่านั้น เมื่อปรากฎอาการเกิดขึ้น แล้วไปกล่าวโทษสมุนไพร ว่าทานแล้วทำให้เป็นเช่นนั้น พฤติกรรมเช่นนี้ หลวงพ่อนิพนธ์ให้สติว่า เป็นพฤติกรรม "อกตัญญู" น่ากลัวอย่างยิ่ง

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงชี้ให้เห็นเหตุผลให้พิจารณาว่า ก็สมุนไพรหม้อเดียวกัน ทุกคนก็ทานเหมือนกัน หากเป็นเหตุจากสมุนไพร ทุกคนก็ต้องเป็นเหมือนกัน เมื่อบางคนเป็น บางคนไม่เป็น นั่นคือ คนที่เป็น มันเกิดจากโรคที่ตนเป็นแสดงอาการออกมา หาใช่สมุนไพรทำให้เป็นไม่

ที่สำคัญ หากสมุนไพรเป็นโทษ ย่อมหาคนที่ประสพผลสำเร็จจากการทานสมุนไพรหม้อเดียวกันนั้นไม่ได้เลย แต่ภาพที่ปรากฎก็เห็นกันอยู่ ว่าคนนั้นหาย คนนี้หาย

สิ่งที่พึงกังวล ควรจะเป็น "พฤติกรรมของตนเอง" ต่างหาก ว่าทำเช่นไร เราท่านจึงไม่ประสพผลดังเช่นเขา

ควรที่จะไปศึกษาให้ถ่องแท้ ว่าคนที่เขาประสพผล ต้องทำอย่างไร อย่าคิดเอาเอง เออเอง ...



แจ้งเตือน

มีกลุ่มสมาชิกหลายท่าน ได้เขียนจดหมายเพื่อเรียนหลวงพ่อนิพนธ์ เริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อร้องในกรณีที่เหล่าเพื่อนสมาชิก ทำให้พวกเขา เสียสมาธิ และฟังคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ไม่รู้เรื่อง

อ.อร่าม จึงได้แจ้งเตือนว่า คณะกรรมการของชมรม มีมติให้ว่ากล่าวตักเตือนเป็นทางสายกลาง ถึงสมาชิกที่มีพฤติกรรมดังกล่าวไว้ก่อน

และได้ดำเนินการติดกล้องวงจรปิดไว้ในห้องสวดมนต์ เพื่อตรวจสอบการร้องเรียน หาข้อเท็จจริง

และแจ้งให้ทราบว่า ในไม่ช้าจะเริ่มใช้มาตรการ ขั้นเด็ดขาด เมื่อมีการร้องเรียน จะตรวจสอบข้อมูลจากกล้องวงจรปิด หากมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นจริง ให้ถือว่าเป็นการทำผิดร้ายแรง

คณะกรรมการ จะทำการพิจารณาเป็นกรณีๆไป โดยโทษรุนแรงที่สุด คือ ให้ออกจากการเป็นสมาชิก ทั้งผู้กระทำและเครือญาติทั้งหมด อาทิเช่น สามีโดน ภรรยาก็ต้องออกจากสมาชิกด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุที่ การรักษาความสงบในห้องสวดมนต์ เป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการกอบกู้ชีวิตของตนและผู้อื่น

เราจึงฝากคำสอนของหลวงพ่อนิพนธ์ ที่กล่าวว่า "คบคนพาล พาลพาไปหาผิด" คนที่ชวนเราคุย หรือ แชทกับเรา ในขณะที่เรากำลังจะทำกิจกรรมกอบกู้ชีวิต นั่นแหละเป็นคนพาล หลีกหนีให้ไกล ไม่มีทางรักชอบเราจริงแท้

เพราะสิ่งที่เราท่านกำลังท่าน มีผลต่อชีวิตเราท่าน แต่มาทำลายเสีย นั่นก็คือ กำลังมีพฤติกรรม "ฆ่าเรานั่นเอง" ด้วยการปิดหนทางรอด ...

นี่แหละโบราณเรียก "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ"

หากเราท่าน เป็นตัวเริ่ม ก็ควรหยุดพฤติกรรมนั้นเสียอย่างเร่งด่วน เพราะการกระทำเช่นนั้น เข้าข่าย "ฆ่าคนตายโดยเจตนา"

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า ลำพังกรรมของเราท่านเอง ก็สาหัสสากรรจ์อยู่แล้ว ยังไปแบกกรรมภูเขา "ฆ่าคนตาย" มาอีก ผลของการทำไม่อาจปฏิเสธได้เลย

ไม่ชอบ ไม่อยากฟัง ก็ไปหาที่ชอบ ที่อยาก ทำดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีบาปหนักเป็นของแถม ... ยิ่งกว่านั้น แทนที่จะอยู่ได้อีกนาน ด้วยผลการกระทำนี้ ทำให้ชีวิตอับปางลงเร็วกว่าเดิมอีก

กันไว้ก่อน

หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวว่า ปีหน้าสภาวะของโรคจะรุนแรงขึ้น แลวิธีการของพระภูมีที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ใช้กลวิธีสองขา หรือ สองทางในการต่อสู้โรค นั่นคือ "สมุนไพรรักษาโรค ธรรมรักษากรรม"

หากแต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้ นั่นคือ การพูดเพื่อให้เหล่าสมาชิกมีมาตรฐานเดียวกันในการประพฤติปฏิบัติ ตามธรรมคำสั่งสอนของพระภูมี อันปรากฎได้จากกลวิธีเชิงบังคับ ที่จัดให้มีการเข้าสวดมนต์ และฟังคำสอน เพื่อฝึกให้เกิดความสงบ ฝึกสติ และหยุดวาจาสร้างบาป มาสวดมนต์สร้างบุญ ก็จะปรากฎภาพที่สมาชิก คุยไม่หยุด อ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์ คุยโทรศัพท์ นั่งหลับ ... ให้เห็นกันเป็นปกติ

เมื่อมาตรฐานในการสร้างบุญของพระภูมียังไม่เกิด นั่นคือขาที่ใช้ในการรักษาโรคด้านการสร้างบุญย่อมยังไม่อาจหวังผล ให้เป็นที่วางใจได้

จึงดำริว่า ควรที่จะทำขาของด้านสมุนไพรให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างน้อย ก็เป็นการยืดเวลา เพื่อให้โอกาสแก่คน เพื่อรอขาการสร้างบุญนั้นแข็งแกร่งขึ้น เพื่อช่วยตนจนสำเร็จ

ปีหน้าเป็นต้นไป จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณสมุนไพรที่แจกแก่สมาชิก ให้มากขึ้น เพื่อร่างกายจะได้รับสารสมุนไพรในปริมาณที่มากพอ

กระนั้นก็ตาม หลวงพ่อนิพนธ์ก็กล่าวว่า ปริมาณสมุนไพรที่เพิ่มขึ้น ก็หาใช่เป็นปัจจัยที่ช่วยให้การรักษาตนประสพผลไม่ เพราะต้องทำทั้งสองขา คือ ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ให้เป็นไปตามคำสอนของพระภูมีด้วย การช่วยตนจึงเป็นผล

ดังนั้น การเพิ่มปริมาณสมุนไพร จึงเป็นการให้โอกาสสมาชิก ที่อาจจะปรับตัวได้ช้า หรือยอมรับได้ช้า ในแนวทางนี้ ได้มีโอกาสมากขึ้นนั่นเอง

แลเมื่อใด ที่สองขาของสมาชิกนั้น เติบโตทั้งคู่ ความมุ่งหวังที่จะหายโรคก็มีความเป็นไปได้

บทสรุปที่หลวงพ่อนิพนธ์ให้เป็นสติ คือ "การทานสมุนไพรเพียงอย่างเดียว ยากที่จะประสพผล"

การทำเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อให้โอกาสเท่านั้นเอง หากสมาชิก ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ หรือไม่คิดเปลี่ยน ก็ไม่ควรจะมาเสียเวลา เพราะสิ่งที่หวังไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน

อย่างดีด้วยสรรพคุณสมุนไพร ก็แค่ประทัง เท่านั้นเอง

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ปาฎิหาริย์

หลวงพ่อนิพนธ์ เล่าคำสอนของแม่ชีเมี้ยนให้ฟัง ในเรื่อง "ปาฏิหาริย์" หรือ "บุญญาธิการของศาสนา"

แม่ชีเมี้ยนทรงตรัสว่า "ศาสนา" เลือกเฟ้นบุคคล ดังนั้น บุคคลที่จะได้สัมผัสปาฏิหารย์ ของศาสนา จึงต้องฉลาด ที่สำคัญคือ "เอาเหตุเอาผล" แล้วไปพิจารณาเพื่อให้เห็นซึ่งปาฏิหารย์ของศาสนา

อ้ายประเภทที่รอปาฏิหารย์ของศาสนา ได้เห็นตัวเป็นๆ ลอยลงมาจากฟากฟ้า แล้วถึงจะเชื่อในปาฏิหาริย์เยี่ยงนั้น คนประเภทนี้ศาสนาเขาไม่สนหรอก

ดังนั้น คนที่จะเห็นปาฏิหารย์ของศาสนา จึงต้องอาศัยเหตุและผล พิจารณา แล้วจะเห็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติที่ปรากฎ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้แต่มันเป็นไปแล้ว นั่นแหละเขาจึงได้รู้ว่านี่คือ ปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา จิตของเขาก็จะซาบซื้ง และยอมรับ

แผ่นดินของแม่ชีเมี้ยน ของพระพุทธเจ้า สร้างปาฏิหาริย์ให้คนเห็นมากมาย แต่หลายคน ก็ไม่เคยเห็น ไม่ได้สัมผัส จึงไม่ซาบซึ้ง แลที่สำคัญ ไม่ได้สัมผัสปาฏิหาริย์นั้นเลย แม้จะอยู่ใกล้สักฉันใด

บังคับคนเหล่านั้น มานั่งสวดมนต์ มานั่งฟัง หากไปถามหมอ ถามคนทั่วไป ก็เรียกว่าเอามาทรมาน สิ่งที่จะต้องบังเกิด ก็คือ เดี๋ยวก็ต้องมีคนเป็นอะไรไปกันบ้าง

หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวอย่างมั่นใจ ว่า "ใครก็ตามที่เข้ามานั่งทำกิจกรรม เรารับผิดชอบ ว่าไม่เป็นอะไร ไม่ตายแน่"

ห้องสวดมนต์ จึงไม่จำเป็นต้องเตรียมรถพยาบาล หรือเครื่องมือแพทย์ ไว้แต่ประการใด

เพียงแค่นี้ ก็น่าจะได้เห็นความผิดแผกจากธรรมดาปกติ ของสถานที่แล้ว ว่าบริเวณห้องสวดมนต์นี้ไม่ธรรมดา เป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่สามารถจะหาจากที่ใดได้ แม้นแต่โรงพยาบาล ที่มีเครื่องมือพร้อมพรั่ง ยังไม่กล้าทำเยี่ยงนี้เลย

ภาพที่คนเข้าสวดมนต์ได้เห็น ก็เป็นภาพที่เหมือนกัน ทุกคนได้เห็น แต่เราอยากบอกว่า ท่านจะไปหาดูแบบนี้ได้ที่ไหน นั่นคือ คนที่มา ไม่ว่า นายพล ด๊อกเตอร์ คุณหมอ ชนชั้นนำ รัฐมนตรี รวมไปถึง พระ ยังต้องยอมมานั่งทำกิจกรรมในห้องนี้เลย

ใครจะเห็นว่าธรรมดา ไม่แปลก แต่เราเห็นว่านี่แหละปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่ใครอยากทำให้เกิด ก็ทำไม่ได้ ที่จะเรียกคนเหล่านี้ มารวมกันเพื่อทำกิจกรรม ทุกสัปดาห์

คนที่ไม่มอง หรือไม่ยอมมอง เมื่อไม่เห็น ก็ไม่ซาบซึ้ง คนเหล่านั้นจึงหยุดพฤติกรรมของตนเองไม่ได้ เข้ามาก็หาความสงบไม่ได้ สิ่งอื่นสำคัญหมด ยกเว้น การทำเพื่อช่วยตน

ห้องวีไอพี สำหรับเรา จึงไม่สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำต่ำสูง แบ่งพรรคแบ่งกลุ่ม หากแต่จะทำให้เห็นซึ่งปาฏิหาริย์ของศาสนา

ภาพที่เราเห็นจึงเป็นปาฏิหาริย์ ที่ทำให้บรรดาคนชั้นสูงที่ในสังคมมีคนนับหน้าถือตา และอาจเป็นที่พึ่งของคนอื่น แต่คนเหล่านี้ กลับยอมทำกิจกรรมเช่นนี้ ทุกสัปดาห์ ด้วยความเต็มใจ

ถ้าไม่เรียกเป็นปาฏิหาริย์ ของธรรมคำสอน ของสมุนไพร ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ จะเรียกอะไร

อยากรู้นัก ใครจะเชิญให้คนพวกนี้มารวมตัวกันได้ทุกสัปดาห์... ต่อให้จ้างก็คงทำไม่ได้

นี่คือเสี้ยวของปาฏิหาริย์ ที่เห็นได้

เราจึงอยากให้ท่าน ลองมองลองสังเกต แล้วพิจารณา ท่านจะเห็นปาฏิหาริย์มากหลาย ปรากฎในดินแดนแห่งนี้ ด้วยการใช้เหตุและผล ในการมอง

เมื่อได้เห็น ท่านจะซาบซึ้ง แล้วเกิดมานะ ในการสร้างปาฏิหาริย์ให้มาเกิดกับตน

ล่าสุดวันพฤหัสที่ผ่านมา ภาพที่ปรากฎก็เป็นภาพที่อัศจรรย์สำหรับเราภาพหนึ่ง นั่นคือ ภาพของชายผู้หนึ่งที่เป็นโรคกระดูกรุนแรง เดินเข้ามาใช้บริการของชมรม

หากเป็นชายทั่วไปก็ไม่แปลก แต่ชายผู้นี้คือ ผู้บังคับบัญชาระดับสูงท่านหนึ่งในกระทรวงสาธารณสุข ...

อะไรทำให้เขาไม่ไปใช้บริการทางการแพทย์แผนใหม่ที่ว่าก้าวล้ำ กลับเดินสวนทางมาใช้แนวทางสมุนไพรที่นี้แทน

ประกาศ เรื่องขวด

ก็คงจะเป็นที่แน่นอนชัดเจนแล้วว่า การพึ่งความร่วมมือในการจัดหาขวดมาเพื่อใส่สมุนไพรนั้น ไม่ประสพผล

แลการใช้ขวดเก่า ก่อให้เกิดข้อครหา หรือการตั้งข้อรังเกียจ แก่บุคคลบางกลุ่มว่า อาจจะไม่สะอาด ทำให้ทำใจไม่ได้ ก็มี

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ดำริว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหา จึงลองใช้วิธีการใช้ขวดใหม่ทั้งหมด โดยให้สมาชิกรับผิดชอบซื้อ ตามแต่ละคนใช้

โดยฝ่ายจัดหา ได้สำรวจราคาแล้ว เป็นขวดขนาด ๕๐๐ ซีซี มีราคาขวดละ ๒ บาท

ดังนั้น นับตั้งแต่ปีใหม่ที่จะถึง ก็จะยุบแผนกล้างขวด และยกเลิกการขอบริจาคขวดที่ทานแล้วไปก่อน แล้วรอดูผลตอบรับ ว่าวิธีการนี้จะใช้ได้หรือไม่

สิ่งที่น่าเสียดาย ทำให้โอกาสในการสร้างนิสัยพระเวสสันดร ช่องน้อยๆ ก็ถูกปิดลง

แลเปิดโอกาสให้ คนมีทรัพย์ได้มีโอกาสมากอบโกยบุญแทน

แค่ยังไม่เริ่มต้น คนไข้กลุ่มชุมพร ก็ขอรับผิดชอบขวดใหม่ เป็นการประเดิมไปก่อนแล้ว ๕๐,๐๐๐ ขวด

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะคนที่เขารอเอาเงินซื้อบุญ ก็จ้องอยู่่ จะใช้นโยบายหลอกล่อให้ทุกคนได้ทำ เขาก็ไม่ร่วมมือ ไม่อยากทำ กลายเป็นจุกจิก รำคาญ ต้องเก็บแล้วเอามาให้

คนที่จ้องอยู่ โดยเฉพาะลูกศิษย์เก่า แต่ครั้งถ้ำกระบอก รู้ถึงผลของการทำ ก็พยายามตื้อ เพื่อบริจาคเงินรับผิดชอบค่าใช้จ่าย เดือนละล้านบาท หากแต่หลวงพ่อนิพนธ์ก็ยังยืนยันว่า หลักที่ใช้ เป็นหลัก "พระเวสสันดร" จะให้คนที่มาหายด้วยการเป็นชูชก คงเป็นไปได้ยาก

ก็รอบทสรุป "ใครอยากซื้อก็ซื้อ ไม่ว่าสำหรับตน หรือเผื่อคนอื่น ใครไม่อยากซื้อ ก็ไม่ต้องซื้อ ไม่มีการบังคับ" แล้วดูผลว่าไปรอดหรือไม่

ก็ดีกว่าต้องนำเงิน ข้าวแกง และน้ำ ที่จัดไว้สำหรับสมุนไพร แบ่งมาซื้อขวดอีก ยิ่งช่วงนี้วัตถุดิบสมุนไพร ก็ขึ้นเป็นรายเดือน รายอาทิตย์ แบบว่า อยากขึ้นอ่ะ ก็เห็นใช้เยอะ สั่งเยอะ นี่...

วัดอนันดา

เขาคุยกันว่า ศาสนาพุทธในประเทศไทยเฟื่องฟูที่สุดในโลกยุคนี้

หากแต่เราไม่เคยได้ยินพระ หรือวัดไหน ที่แสดงให้คนไทยได้รู้เลยว่า พระโคดม ทรงเป็นพระพุทธเจ้าในยุคหนึ่งเท่านั้น แลพระพุทธเจ้าก็มีมามากมายนับไม่ถ้วน

หากมีใครได้ไปเยือนพม่า ดินแดนแห่งพระพุทธเจ้ากัสปะ แลได้ไปเยี่ยมเยือน "วัดอนันดา"

สิ่งที่ชนชาวพม่าภูมิใจหนักหนาในโบราณสถานแห่งนี้ คือ วิหารของพระพุทธเจ้าสี่พระองค์ หลังสุดที่เด่นตระหง่านสวยงาม

ทิศเหนือ คือ พระพุทธเจ้ากุสันโธ ทิศตะวันออก คือ พระพุทธเจ้าโคนาคม ทิศใต้ คือ พระพุทธเจ้ากัสปะ และทิศตะวันตก คือ พระพุทธเจ้าโคดม

น่าเสียดายที่แผ่นดินไทย ยังไม่เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดมาแล้วมากมายก็ตามที

ที่น่าเสียดายไปกว่านั้น พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะมาอุบัติ ควรที่จะบังเกิดในประเทศไทย อันเป็นประเทศที่พระโคดม ได้มาวางธรรม ก่อนที่จะดับขันธ์ปรินิพพาน

ร่องรอยของการเสด็จมาวางธรรมของพระโคดมในประเทศไทย จึงเกลื่อนกลาด กลายเป็นสัญญลักษณ์ที่บรรพบุรุษของคนไทยได้สร้างไว้เป็นที่ระลึก นั่นคือ "รอยพระพุทธบาท"

แม่ชีเมี้ยน ได้กล่าวว่า การคลาดเคลื่อนนี้นั้น ทำให้ประเทศไทยเสียโอกาส แลพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่จะอุบัติ ก็จะย้อนกลับไปอุบัติที่ประเทศพม่าอีกครั้ง

เมื่อใดที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติ พวกที่แอบอ้างผ้าเหลืองหากิน ก็จะต้องถูกสังคยานา เราจะได้เห็นพระพุทธกาลอีกครั้งว่า วัตรปฏิบัติของท่านทำไมจึงได้รับการยอมรับ แม้ชนบางพวกบางเผ่า จะไม่นับถือ ก็ตามแต่

แต่หลวงพ่อนิพนธ์ได้เตือนว่า ก่อนที่จะทรงอุบัติขึ้นนั้น มนุษย์ต้องได้รับกรรมที่ทำมาอย่างแสนสาหัส แลดิ้นรนเพื่อหาทางดับทุกข์นั้น

หากแต่หาสักเท่าใด กับพระเจ้า เกจิ หมอผี ... หรือ แม้แต่วิทยาศาสตร์ที่ว่ากันว่า ก้าวล้ำ ก็ไม่พบทางรอด

การอุบัติขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้า และส่งธรรมมาให้มนุษย์ นั่นแหละเป็นทางรอดที่ทำให้มนุษย์ แม้ไม่นับถือ ก็ต้องยอมรับในบุญญาธิการนี้

คนทุกชนเผ่า จะส่งคนที่มีความสามารถของตน มาเรียนรู้จากพระพุทธเจ้า เพื่อน้อมนำหนทางปฏิบัติตนเพื่อรอดนี้ กลับไปยังชนเผ่าของตน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า นี่จึงเป็นที่มาของศาสนาต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีรากเหง้าเดียวกัน คือ มาจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง

พิจารณาแล้วจึงขำกลิ้ง ที่หลวงพ่อนิพนธ์ได้กล่าวไว้ว่า "ทางโลก พวกท่านอาจเป็นคนชาญฉลาดล้ำ เหนือกว่าตัวท่านมากนัก หากแต่ทางธรรมแล้ว ความรู้ของพวกเราท่าน ก็เหมือนควายดีๆ นี่เอง"

เราท่านจึงมีพฤติกรรมสวนทางกับคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง ผลที่บังเกิด ทำสักเท่าไร หรือ ทำตั้งแต่เกิด จึงไม่มีบุญมาหล่อเลี้ยงชีวิต ให้ปลอดโรคปลอดภัย แม้แต่น้อยเดียว

เราจึงย้อนนึกไปถืง คำของ คุณบุญเติม ติวานนท์ ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษากิติมศักดิ์ของชมรม ได้กล่าวไว้เมื่อได้ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ แล้วอุทานขึ้นว่า "ผมเพิ่งถึงบางอ้อ และรู้ว่า ครอบครัวผม โดยเฉพาะส่วนตัว ก็ทำบุญช่วยการกุศล ปีหนึ่งเป็นล้าน เมื่อรวมกับทำในนามครอบครัว ปีหนึ่งก็นับสิบล้านบาท ทำมาตั้งแต่ผมจำความได้ จนบัดนี้ อายุปลายคนแล้ว แต่กลับมามีสภาพเช่นนี้ ก็ด้วยเหตุที่สิ่งที่ทำมันเป็นลม จึงไม่มีผลย้อนกลับมาช่วยตนนี้เอง"

นับแต่นั้นมา คุณบุญเติม ก็กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์หลัก แก่ชมรมคนรักสุขภาพ จนได้ก่อตั้งมูลนิธิไทยกรุณา จวบจนสิ้นอายุขัย แบบที่หลายคนอิจฉา เพราะท่านง่วงนอนแล้วก็เข้านอน หลับไปอย่างสบาย

ใครจะเถียงจะว่าอย่างไรก็ช่าง เรามาคอยดูพยากรณ์แม่ชีเมี้ยนกัน พร้อมกับทำตนรอคอยพระพุทธเจ้าที่จะอุบัติ เผื่อโชคดีได้อยู่ถึงวันนั้น จะได้มีโอกาสไปกราบพระพุทธ พระอรหันต์ จริงๆ ไม่ใช่ พระอิฐ พระปูน พระทองเหลือง ... อย่างวันนี้

แล้วเราจะได้รู้ว่า ทำไมพระพุทธศาสนา จึงได้ตรึงตรา ตรึงใจ คนทั้งโลก แม้คนส่วนใหญ่ จะเป็นดั่งที่แม่ชีเมี้ยนทรงตรัส "คือดีแต่ไม่เอา ชอบแลยอมรับ แต่ไม่ทำ" ก็ตามที

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สิ้นยุค


คำทำนาย หลายชนชาติหลายเผ่าพันธุ์ โดยเฉพาะเผ่ามายัน ที่สารพัดโหร สารพัดสำนัก กล่าวถึง "วันสิ้นโลก" ในปลายเดือนธันวาคม ของปีนี้

แถมด้วยคำขู่ของหมอดู ที่กล่าวถึงภัยอันร้ายแรงจะบังเกิด อันเนื่องจากการเคลื่อนของดวงดาว อีกมากมาย จนคนมากมาย ต้องแห่แหนกันไปวัด บูชาโน่นนี่นั่น วุ่นวายกันไปหมด

พระภูมีตรัสไว้ "มนุษย์เป็นไปตามกรรม" แลสรรพสิ่งในโลก ล้วนอยู่ใต้อำนาจกรรม ที่จะดลบันดาลทั้งหมดทั้งปวง

เมื่อมนุษย์ต้องใช้กรรม หลวงพ่อนิพนธ์จึงชี้ให้เห็นว่า เป็นไปไม่ได้เลยกับคำกล่าวที่ว่า "โลกจะแตก หรือ ถึงกาลสิ้นสุด" มิหนำซ้ำจะยังคงอยู่ไปตลอดกาล

แต่สิ่งที่จะเกิด อันเป็นพยากรณ์ที่แม่ชีเมี้ยนได้ทรงตรัส นั่นคือ "การสิ้นยุคของพระโคดม แลบังเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่"

เราท่าน จะต้องกลับไปใช้ พ.ศ.๑ กันอีกครั้ง หลังจากที่พระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้อุบัติและสังคยานาศาสนาพุทธของพระโคดม นั่นคือ เมื่อพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ได้ประกาศตนแล้วนั่นเอง

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร หลวงพ่อนิพนธ์ ก็ยืนยันว่า ไม่มีทางที่เราจะได้ใช้ พ.ศ. จนถึง พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นแน่แท้

สัญญาณที่รุนแรง นั่นคือผลแห่งกรรมที่มวลมนุษย์ได้ร่วมกันทำ กำลังส่งสัญญาณถี่ขึ้น และแรงขึ้น อันหมายความว่า อุบัติเหตุและอุบัติภัยจากโรคร้าย กำลังจะมาเยือนมนุษย์ในไม่ช้านี้ อันเนื่องจากกรรมที่ทำกันมา

ผลของกรรมอันนี้ แม่ชีเมี้ยนทรงชี้ให้เห็น เป็นเพราะมนุษย์ห่างศาสนากันมานาน ทำให้นิสัยกิเลสพอกพูน จนเป็นภัยย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง

ความแรงของสิ่งที่กำลังจะเกิด จึงต้องอาศัยพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ บังเกิดมาเพื่อดับยุคเข็ญ และให้โลกกลับสู่สมดุลย์อีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้เอง หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวเป็นคำที่ดูเหมือนเล่น แลคนไม่ค่อยสนใจ นั่นคือ ปีที่กำลังมาถึง นั่นคือ ความแรงของสิ่งที่กำลังจะมา จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นทวีคูณ เราจะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น อุบัติภัยที่แรงขึ้น ถี่ขึ้น รวมทั้งโรคที่รุนแรงขึ้น

คำเตือนเล็กๆ นี่คือเหตุแห่งการเกิดของชมรมคนรักสุขภาพ เพื่อเตรียมตัว ปรับพฤติกรรม และ ใช้สมุนไพร เพื่อรับมือกับภัยที่กำลังมา รอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอุบัติ

ที่ผ่านๆ มา เราจะได้ยินท่านสอนแบบสบายๆ แต่ปีหน้า หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า จะทำเช่นนั้นอีกไม่ได้ ไม่ว่าคำสอน หรือสมุนไพร ต้องปรับเปลี่ยนให้เข้มข้นเพือรับสถานการณ์ที่จะบังเกิด

ก็เตรียมตัวเตรียมใจกันไว้หน่อย อย่าประมาท

คำพยากรณ์ครั้งถ้ำกระบอก ลองมาดูว่าจะเป็นจริงไหม ที่ว่า "ศาสน์ในโลก จะกลับมาเป็นหนึ่ง นั่นคือ ศาสนาพุทธ"

แลทุกคนจะได้ประจักษ์ว่า รากแห่งศาสน์ทั้งหมดในโลก มาจากรากเหง้าเดียวกัน

ศิลาสีดำ ณ ใจกลางกรุงเมกกะ ที่ชนชาวอิสลามนับถือกราบไหว้ วันหนึ่งจะแตกออก แล้วจะปรากฎพระพุทธรูปอยู่ด้านใน

ใครจะเชื่อ "วันสิ้นโลก" ก็ว่ากันไป

แต่พยากรณ์ "การสิ้นยุคพระโคดม" ของแม่ชีเมี้ยน ตั้งแต่เมื่อครั้งถ้ำกระบอก กำลังจะถูกพิสูจน์

อย่างน้อย พึงระลึกว่า เมื่อภัยมาถึง "บุญของพระพุทธศาสนา" เท่านั้น ที่จะช่วยให้รอด

แล "ผู้ทำได้ คือ ผู้รอด"

นั่นแลยุคที่ พระโคดมทรงตรัสว่า "ยุคผู้ดีตีนแดง ตะแคงตีนเดิน แลผู้ดีจะเดินตรอก ขี้คลอกจะเดินถนน"

หลวงพ่อนิพนธ์ ได้อรรถาธิบายว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ดีส่วนใหญ่จะทำวินัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เมื่อเป็นโรคก็ไม่อาจพบหน้าผู้คน คนที่ทำได้ส่วนใหญ่จึงเป็นคนยากคนจน ที่มีน้ำอดน้ำทน เมื่อทำได้ก็จะพ้นจากโรคภัย สามารถอยู่ได้อย่างสุขสบาย ไปไหนมาไหนได้ โดยไม่ต้องกลัวโรคกลัวภัย

วันหนึ่ง แม่ชีเมี้ยนได้พยากรณ์ไว้ โรคที่ฝังอยู่ใต้ดิน ที่หลับใหล จะฟื้นกลับมาด้วยเหตุของความร้อนที่ทวีขึ้น และเมื่อใดที่เชื้อเหล่านี้พุ่งขึ้นสู่อากาศ นั่นหมายถึง การติดเชื้อที่มากับลมหายใจ ผู้คนจะล้มตายมากมาย

ภาพที่ไม่เคยเห็นจะได้เห็น นั่นคือ มนุษย์กระป๋อง เพราะไปไหนก็ต้องพกออกซิเจนกระป๋อง

คนที่อยากรอด จึงต้องไปพึ่งบุญญาธิการของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ที่มาอุบัติ

อันเป็นเหตุให้แม้ไม่ชอบ ไม่นับถือ ก็ต้องยอมรับในบุญญาธิการ

โลกตอนนี้ กำลังสอนสั่งให้แสวงหาเงินทอง ลาภยศ สรรเสริญ

แต่แม่ชีเมี้ยนทรงให้หลวงพ่อนิพนธ์ มาปลุกปั่น และแสวงหาธรรมคำสอน เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และทานสมุนไพร รองรับการมาของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่

บทพิสูจน์ กำลังจะมาถึงแล้ว ....

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ฉากหลัง

กรรมการท่านหนึ่ง ได้ส่งบทความให้หลวงพ่อนิพนธ์ได้อ่าน

เขียนโดย ดร.เฮนรี่ ผู้ซึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับ การสร้างฮอร์โมนของร่างกาย

ผลการวิจัยของเขาพบว่า ร่างกายของคนเรา ปกติแล้วจะต้องสร้างไขมันส่วนเกินขึ้นเป็นครั้งคราว เพื่อให้ร่างกายใช้ในการสร้างฮอร์โมนที่จำเป็นแก่ร่างกาย

ดร.เฮนรี่ กล่าววว่า วงการผลิตยา หาเงินโดยการสร้างความกลัว ความวิตก แก่คน โดยการโฆษณา ทำให้คนคิดว่า การมีรูปร่างที่ผอม และไม่มีไขมันส่วนเกิน เป็นเรื่องดี

ผลจากการสร้างความกลัวนี้ ทำให้บริษัทยามีรายได้จากการขายยาถึงปีละ กว่า สองหมื่นห้าพันล้านดอลล่าร์ต่อปี

และความจริงข้อนี้ก็ถูกปกปิด เนื่องจาก ในคณะกรรมการยา ๒๕ คนนั้น ๗ คน เป็น กรรมการของบริษัทยา และมี ๑๔ คน ที่ทำหน้าที่ในการเป็น ผู้เชี่ยวชาญที่ไปเปิดบรรยาย เพื่อสร้างความกลัวนี้ให้เกิดขึ้น อันเป็นประโยชน์ที่จะทำให้คนทั่วไปหันมาใช้ยา จากบริษัทเหล่านี้มากยิ่งขึ้น

ใครที่หลงเชื่อ ทำตัวเองให้ผอม จนร่างกายขาดไขมันส่วนเกิน ผลที่ตามมา ร่างกายก็จะขาดฮอร์โมนที่จำเป็น ส่งผลให้เกิดโรคแทรกขึ้น ...

นี่แหละจุดอ่อนของแพทย์สมัยใหม่ เพราะคนรักษา ไม่รู้เรื่องยา จ่ายยาตามคำสอน คำบอกของบริษัทยา กลายเป็นเครื่องมือของบริษัทยา

เราจึงได้ยินย้อนยุคไปในสมัยถ้ำกระบอก ที่พระถามแมชีเมี้ยนว่า อาชีพอะไรในโลกนี้ ทำแล้วมีโอกาสทำบาปมากที่สุด

แม่ชีเมี้ยนทรงตอบว่า อันดับหนึ่งคือ "พระ" และอันดับที่สอง คือ "หมอ"

เพราะคนเขาเชื่อ เขาศรัทธา และวางใจ วางชีวิตไว้ให้ จะพูดจะทำอะไร ก็เชื่อ และทำตาม เมื่อชี้ทางผิดให้คนเดินตาม ผลที่ปรากฎจึงกลายเป็น "ฆ่าคนมหาศาล" ที่เขาหลงมาเดินตามนั่นเอง

ผลตอบแทน

เย็นวันอาทิตย์ บางท่านอาจจะเห็นภาพ ที่ผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้ ท่ามกลางเหล่าจิตอาสา

พี่น้องเรียกเธอ อาเหมย แต่คนของชมรมเรียกเธอ แอน

เหมยเป็นคนจีน อยู่คุนหมิง อายุเพิ่งจะยี่สิบต้นๆ แต่อาการป่วยของเธอไม่ต้นๆ เลย เพราะหมอให้คำอมตะแก่เธอแล้ว

พี่น้องของเธอไปมาเมืองไทย ได้ข่าวของชมรม จึงขอหลวงพ่อนิพนธ์และส่งเธอมาพำนักพักอยู่ที่ชมรม

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก เหมยมาอยู่ที่นี่ได้ครบปี พร้อมกับร่างกายที่กลับฟื้นคืนสภาพมาสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง

และนอกจากร่างกายที่กลับมาสมบูรณ์ เธอยังได้ของแถมจากที่นี่ นั่นคือ เธอพูดไทยได้พอรู้เรื่อง

ผลของการลงทุนของเธอ ที่ทิ้งทุกอย่าง ใช้เวลาทุกเสี้ยวนาทีของปี เพื่อกอบกู้ชีวิต แล้วเธอก็ประสพผลดั่งใจหวัง

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า เพราะเห็นชีวิตมีความสำคัญ จึงทุ่มเท และผลที่ได้ก็ไม่ผิดหวัง ในขณะที่หลายคน หวังผล แต่การมาในแต่ละสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรูสึก อยากมาก็มา ว่างก็มา ไม่ว่าง ไม่มีอารมณ์ก็ไม่มา มีสิ่งที่สำคัญกว่าชีวิต ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะกอบกู้ชีวิต เรียกพฤติกรรมเช่นนี้ว่า "กินเพื่อประทัง ไม่ใช่กินเพื่อหาย"

คนไกล พูดไทยไม่ได้ ฟังหลวงพ่อนิพนธ์ ยังเข้าใจ ... นั่นเพราะชีวิตของเขามีความหมาย และที่สำคัญเขาให้ค่าของชีวิตไว้สูง จึงทุ่มเท นี่แหละเรียกคนรักตัว

หลายคน มักให้ความสำคัญสิ่งอื่น ละเลยชีวิตตน ภาษิตโบราณกล่าวว่า "แม้แต่ตัวเองยังไม่รัก คนคนนั้นจะรักใครได้" ให้พึงระวัง

ปฏิเสธอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะพฤติกรรมมันฟ้อง ผลตอบแทนที่ได้จึงไม่มีทางได้ดังหวัง การมาก็เสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาไปทำสิ่งที่ชอบดีกว่า เพราะท้ายที่สุด ก็จะมาลงที่ "ไหนว่าสมุนไพรดี ไหนว่าที่นี่กินแล้วหาย"...

เงินทองกว่าจะได้ก็ต้องทุ่มเทแรงกาย แรงใจ แรงสมอง แต่นี่ชีวิต ... จะได้คืนกลับมา ยากยิ่งกว่า ... ผลตอบแทนจึงมีเฉพาะผู้ที่ทุ่มเท และจริงจัง เห็นค่าของชีวิต เท่านั้นแล เพราะพระภูมีตรัสแล้วว่า "ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้น"

ยินดีด้วย "อาเหมย" ...

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ศาสตร์แห่งไฟและควัน


เพื่อให้เห็นภาพลักษณะการทำงาน หรือรูปแบบกลวิธีในการรักษา ให้เห็นเด่นชัด หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักเปรียบเทียบ อาการที่ปรากฎ ดังเช่นควัน และสิ่งที่เป็น เหมือนดังไฟ

เหตุที่มั่นใจว่า ทำไม วิธีต่างๆ ในโลกนี้ที่ใช้อยู่ไม่สามารถรักษาโรคได้ ก็ด้วยเหตุที่ว่า วิธีเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงไฟได้ จึงใช้วิธีดูดควันแทน นั่นคือ ทำให้อาการมันหายไป

ผลก็คือ เมื่อไฟยังอยู่ ก็ต้องมีควันอีก เพราะมันยังไม่ถูกดับลง ที่ซ้ำร้าย ไฟจะยิ่งลุกลามไปมากยิ่งขึ้น นั่นคือ โรคที่เป็นจะเพิ่มขึ้นนั่้นเอง

แต่ความชาญฉลาด และการสร้างความน่าเชื่อถือ ทำให้คนเหล่านั้น สร้างวิชาการ เพื่อกลบเกลื่อน นั่นคือ ให้ดูว่าดีและปลอดภัย เมื่อไม่เห็นควัน ด้วยการกำหนดค่าของควัน ว่าต้องเป็นเท่านั้น เท่านี้ เราท่านจึงเห็น เกณฑ์ต่างๆ มากมาย ความดันต้องเท่านั้น น้ำตาลต้องเท่านี้ ไขมัน ค่านั้นค่านี้ มีเกณฑ์ไปหมด... สิ่งเหล่านั้นคือ ล้วนเป็นเกณฑ์ที่กำหนดจากความสามารถที่เขาทำให้ควันจางลงได้นั่นเอง

ในขณะที่วิธีของพระภูมี อันเป็นการใช้สมุนไพร ที่ต่างจากสูตรของที่ขายกันกลาดเกลือน ไม่ว่า ยาผีบอก พระบอก ตำราบอก ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา จะมีคุณสมบัติที่โดดเด่น คือ ไม่สนควัน แต่จะมุ่งไปแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ นั่นคือ การดับไฟ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้เห็นภาพ อาทิเช่น คนเป็นโรคเบาหวาน เมื่อต้องการดูดควัน ทานยาเคมีเข้าไป ระดับน้ำตาลในเลือดก็จะเข้าเกณฑ์ ที่บอกว่าปลอดภัย คนทานก็ยินดี และวางใจ แต่ไฟ ต้นเหตุคือตับอ่อน ที่กำลังหมดความสามารถในการสร้างอินซูลิน เพื่อกำจัดน้ำตาลส่วนเกิน ไม่มีใครสนใจ

จนท้ายที่สุด น้ำตาลที่ถูกกดลงไป ก็ไปแอบที่อวัยวะต่างๆ ก่อให้เป็นโรค หรือไฟกองใหม่ขึ้น ไม่สิ้นสุด

หากแต่สมุนไพรที่มุ่งดับไฟ ภาพที่ปรากฎ ก็คือ ยิ่งไฟใกล้ดับ ควันก็ยิ่งเยอะ นั่นคือ ปรากฎการณ์ของการลงแดง

ในกรณีของเบาหวาน น้ำตาลในเลือดที่เป็นควันพุ่งสูงปริ๊ด แต่ควัน ก็แค่ภาพลวงตา คือ ไม่สามารถทำลายบ้านได้ ไฟต่างหากที่น่ากลัว ต้องถูกเตือนให้รู้ว่า ร่างกายขาดอินซูลิน ต้องรีบซ่อมตับอ่อน ให้กลับมาผลิตอินซูลิน เพื่อดับไฟนี้อย่างเร่งด่วน

เมื่อไฟถูกดับ ควันที่มีอยู่แม้จะมากมายเพียงใด ก็จะค่อยๆ ลดลง แล้วหายไปในที่สุด

ภาพการลงแดง จึงบอกเหตุถึงประตูสวรรค์เปิดแล้วนั่นเอง เพราะเมื่อใดมันลดลง นั่นคือ ไฟได้ถูกดับแล้ว อันหมายถึงหลักชัย คือประตูสวรรค์ รออยู่อย่างแน่นอน คือ การหายโรค

ด้วยเหตุและผลอันนี้ จะเห็นว่า สมุนไพร ไม่ได้ช่วยให้อาการหายไป แต่อาจจะทำให้อาการดูเหมือนรุนแรงขึ้นอีกต่างหาก ยามลงแดง  แต่สิ่งที่สมุนไพรทำ คือ การฟื้นฟูอวัยวะให้กลับมาทำงานเป็นปกติ และสร้างเสริมภูมิให้ร่างกายทนต่อควันที่มากมายอันนั้นได้

จึงเป็นเหตุที่บอกว่า สมุนไพรไม่ได้รักษาโรค ตัวของตัวเราเองที่รักษาโรค โดยได้สมุนไพรเป็นตัวช่วยให้มีความสามารถนั้น เหมือนยามปกติ

หลายคนที่มักถามวิทยากร ท่าน อ.อร่าม จึงมักกล่าวว่า สมุนไพรไม่ได้รักษาโรคใดๆ เลย เป็นคำตอบที่ตอบกลับมา ด้วยเหตุนี้เอง

หลายท่านที่คาดหวัง หลังจากได้ยินได้ฟังว่าสมุนไพรช่วยให้หายโรคได้ แล้วไม่ได้ศึกษารายละเอียด จึงนึกฝันเองว่า เมื่อทานสมุนไพรแล้ว ต้องไม่มีควัน ดังเช่นเมื่อปวดแล้วทานยาแก้ปวด

เมื่อมาทานสมุนไพรจริงๆ ก็ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับควัน ไม่เรียนรู้เหตุและผล จนเมื่อร่างกายพร้อมรับศึก ควันก็เริ่มหนาขึ้น ก็หวนกลับไป ทิ้งสมุนไพร ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

ความสามารถของสมุนไพรสูตรพระภูมี อันเห็นได้ชัด นั่นคือ ทำอย่างไรร่างกายจึงสามารถนำสารที่เป็นประโยชน์ จากสมุนไพรและอาหาร ไปใช้ได้นั่นเอง นี่แหละจึงต้องอาศัยพหูสูตรของพระภูมี

หลายคนรู้ว่า พริกไทย กระเทียม ไพล .... มีสารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะใช้ได้โดยวิธีใด

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงยก "ไพล" ให้เห็นเป็นตัวอย่าง สารในไพลเป็นสารที่ร่างกายต้องการ แต่การทานไพลโดยตรง ร่างกายจะไม่รับ และถ่ายออกหมด

คนทั่วไปจึงทำได้แค่ใช้ไพล ในการทำเป็นลูกประคบเท่านั้นเอง

การเลือกแนวทางสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จึงต้องสร้างความขันติ อดทน ที่ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์สร้างให้โดยทางอ้อม นั่นคือ กิจกรรมการสวดมนต์ และฟังคำสอนนั่นเอง

หากเราท่านสามารถรักษา สมาธิ กรรมฐาน ในห้องสวดมนต์ได้ตลอด ก็จะเป็นพื้นฐาน ที่ใช้ในการต่อสู้กับควันได้ อย่างมีสตินั่นเอง

บูมเมอแรง


คำที่พระภูมีตรัส "ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น"

ผลสะท้อนของการกระทำในวันนี้ ก็จะไปปรากฎในวันข้างหน้า รอเราท่านอยู่

แลเมื่อผลของการกระทำนั้น ปรากฎแล้ว จะปฏิเสธสักฉันใดว่าเราท่านไม่ต้องการ ไม่ได้ทำ ไม่ได้เลยจะหลีกลี้หนีสักเท่าใด ก็หาพ้นไม่

มะเร็ง เบาหวาน ความดัน สารพัดโรค ไม่เคยเชื้อเชิญ ไม่เคยถวิลหา มันก็ประเดประดังเข้ามาในชีวิต...

หากแต่แม่ชีเมี้ยนทรงมีเมตตา นำหลักพระภูมีมาให้เป็นทางเลือกเพื่อช่วยตนของเรา

ทางสายนี้ จึงต้องอาศัยเหตุและผล เพราะต้องอาศัยซึ่งคนที่มีคุณธรรม มีน้ำใจ มาร่วมกันเพื่อให้เป็นสังคมแห่งการแบ่งปัน มีพระเวสสันดร มากพอ ที่จะช่วยตนและเหลือไปเกื้อกูลชูชกได้

ภาพที่ปรากฎ สะท้อนให้เห็นว่า คนแม้มีใจอยากทำความดีสักฉันใด แต่ภาระที่แบกไว้ มันสาหัสเกินจนรับไหว

ภาพเจ้าของโรงงานขวด ที่เคยเสนอตัวจะจัดหาขวดมาใส่สมุนไพรให้ ท้ายที่สุดตัวเขาก็ต้องพ้นจากวงจรสมุนไพรไป ด้วยเหตุที่ไม่สามารถทำตามคำพูดได้ เพราะจำนวนมันมากมายกว่าที่เขาคิดไว้เยอะ

ภาพของเจ้าของโรงงานถุงพลาสติก ที่เป็นเฉกเช่นเดียวกับเจ้าของโรงงานขวด เพราะคิดว่าแค่ถุงยาไพร ยาลูกกลอน และอื่นๆ อีกนิดหน่อย ก็คงไม่เท่าไหร่

แต่เอาเข้าจริง มันมากมายมหาศาล เกินกำลังเขาจะรับไหว ก็ต้องหลีกลี้หนีไป ด้วยความละอายที่ทำตามคำพูดไม่ได้

ภาระที่เป็นเหมือนภูเขา แบกเพียงคนสองคน ก็คงไม่มีใครไหว เป็นแน่แท้ แม้มีใจสักฉันใด ก็คงต้องทิ้ง

มาวันนี้ วันที่หลวงพ่อนิพนธ์ดำริให้มีการขายน้ำ เพื่อเป็นแหล่งป้อนขวด หลังจากที่ได้ทานน้ำ แล้วช่วยกันนำกลับมา เพื่อกระจายภาระ จากภูเขา ให้กลายเป็นกินคนละก้อน ไปช่วยกันแบก

ที่ซึ่งแรกเริ่มเดิมที ก็ดีอยู่ เป็นไปด้วยดี แต่ภาระนี้ แบกนานไป คนเขาคงเบื่อ ภาพที่ปรากฎ ให้เห็นตลอดเดือนที่ผ่านมา คือ การไม่มีขวดพอบรรจุสมุนไพร ต้องใช้ถุงพลาสติกช่วยอีกครั้ง

เราจึงปฏิเสธไม่ได้เลย ว่า เป็นพระเวสสันดร มันเหนื่อย มันล้า มันไม่สร้างความภูมิใจ ในความดีที่ได้ทำ จนบางคนพูดล้อว่า "ก็มันไม่ได้ออกทีวี จึงไม่มีคนทำ"

ความมักง่าย เอาสะดวก จึงทำให้กิจกรรมที่ดูเหมือนเป็นภาระ แต่เป็นแหล่งบุญ ที่มีความหมาย นั่นคือ ซื้อน้ำ แล้วนำขวดกลับมา เพื่อบรรจุสมุนไพร ถูกความเอาแต่สบายของตน แล้วก็คิดเองเออเอง ว่าได้ทำแล้ว

หลวงพ่อนิพนธ์ ชี้ให้เห็นว่า การที่เอาเงินมาให้เจ้าหน้าที่ขายน้ำ ห้าร้อย พันหนึ่ง แล้วบอกไม่เอาน้ำ หรือ ขอแค่แพ็คเดียว เป็นการกระทำที่ผิดอย่างยิ่ง แทนที่จะได้สิ่งดีๆ กลับไปจากการเสียเงิน กลับได้นิสัยมักง่าย เป็นผลตอบแทน

เพราะกิจกรรมที่ทำ มีจุดประสงค์ ให้เกิดนิสัยพระเวสสันดร นั่นคือ ต้องเป็นภาระซึ่งกันและกัน คนทำสมุนไพรก็มีภาระ ในวันปกติ ที่ต้องจัดหาและเตรียมสมุนไพรมาแจก ในวันทำการ

คนที่มารับสมุนไพร ก็ควรที่จะมีภาระ นั่นคือ เก็บภาชนะขวดน้ำหลังจากดื่มแล้ว ล้างให้สะอาด เพื่อใส่สมุนไพรของตน และผู้อื่น อันเป็นนิสัยของพระเวสสันดร

ก็ด้วยเหตุที่บุญ ได้ผ่านการพิสูจน์จากพระภูมีแล้วว่า เงินซื้อไม่ได้ แต่ทุกคนมีสิทธิ์ทำได้ นั่นคือ "การให้สุขแก่ผู้อื่น"

หากการให้เงินแล้วได้บุญ ก็ไม่จำเป็นต้องขายข้าวแกง ขายน้ำ ตั้งตู้เลยดีกว่า แต่วัดและสถานที่ทั่วไป ก็ทำให้เห็นแล้วว่า การกระทำเช่นนั้น หาบุญของพระภูมีไม่ได้เลย

และท้ายที่สุด เมื่อคนส่วนใหญ่ ไม่เห็นด้วย ไม่ทำ ผลก็ย่อมปรากฎ และหนทางบุญน้อยๆเ ส้นนี้ ก็คงใกล้จะถูกปิด อันเป็นเรื่องน่าเสียดาย

เราจึงได้ยินเสียงแม่ชีเมี้ยนก้องในหูอีกครั้ง "มนุษย์สมัยนี้ มันหาบุญกันไกลตัวเหลือเกิน"

เราท่านกำลังจะเอาเงินมาแลกบุญ ทั้งที่บทพิสูจน์มันก็ปรากฎชัดให้เห็นว่า "เป็นไปไม่ได้"

บุญแม้เพียงเล็กน้อย อันเกิดจากความห่วงใยที่เราท่านมีต่อศาสนา มีค่ามหาศาล เพราะผลที่ย้อนกลับมาให้ศาสนาส่งผลเอื้ออาทรแก่เราท่าน เงินแม้จะมากมายมหาศาลสักเท่าไร ก็หาซื้อไม่ได้

อย่ามองข้าม สิ่งที่ให้สุขแก่ผู้อื่น แม้เพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะเป็นขวดเพียงขวดเดียว หรือสิ่งใดก็ตาม เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติของเรา ว่า เราเชื่อและทำตามคำสอนของพระภูมี

เพราะพฤติกรรมนี้แหละ คือ ตัวแปรสำคัญ ที่จะส่งผลให้สมุนไพร มีคุณมากน้อยมหาศาลเพียงไร

อยากให้ผลที่ย้อนกลับมานั่งคอยเราเป็นฉันใด พระภูมีเขาแสดงให้เห็นแล้วว่า "อยู่ที่ตัวทำ" ไม่ใช่เงินทอง หรือวัตถุ ...

วันเสาร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เล่าเรื่อง ท้องเสีย และ กินไม่ได้


การรักษาตนเองด้วยวิธีสมุนไพร ต้องใช้เวลานาน เรียกว่าหนังยาว

แลต้องใช้สติปัญญาแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาเฉพาะหน้า คือ เรื่องทาน ซึ่งอาจจะเกิดการทานไม่ได้ชั่วขณะ เมื่ออาการของโรคประทุ หรือ มีเชื้อลงกระเพาะ ทำให้ทานก็ไม่ได้ แถมยังถ่ายบ่อยอีกต่างหาก

หลวงพ่อนิพนธ์ ให้สติว่า ถึงแม้เราจะมีสมุนไพรดี แต่ก็ไม่ใช่เป็นทิฐิมานะ จนกระทั่งปฏิเสธการแพทย์แผนปัจจุบัน ไปเสียทั้งหมด เพราะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แพทย์แผนปัจจุบัน นั้น ให้ผลเร็ว ทำให้คนไข้ไม่เกิดการทรุดหรืออ่อนล้าจนเกินไป

ดังนั้น หลายต่อหลายครั้ง เมื่อคนไข้มีเชื้อลงกระเพาะ นั่นหมายถึง ยิ่งทานน้ำ ยิ่งถ่ายมาก หากมีเฉพาะอาการถ่าย ก็ให้คนไข้นอนพักนิ่งๆ หยุดน้ำให้มากที่สุด รอจนกระหายจริงๆ ก็จิบน้ำอุ่น รอจนเชื้อหมดฤทธิ์ อาการถ่ายก็จะหายไปเอง

หากอาการถ่ายเกิดขึ้นยาวนาน แลคนไข้ค่อนข้างมีอายุ ผลที่ตามมาจากเชื้อนี้ มักไม่ถ่ายเพียงอย่างเดียว จะมีอาการทานไม่ได้ ทานแล้วอาเจียนผสมโรงตามมาด้วย นั่นคือ โรคกำลังปิดประตูที่ให้กำลังแก่ร่างกายในการต่อสู้ คือ การกิน

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักให้คนไข้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกว่า ที่ไปหาหมอ เพราะอาการปัจจุบันทันด่วนนี้ ทำให้ร่างกายถูกรุมกินโต๊ะ ทั้งจากอาการโรค และอาการขาดอาหาร

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงให้คนไข้แก้ปัญหาเรื่องการกินก่อน โดยใช้การให้น้ำเกลือ โดยแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งมีผลดีหลายประการ คือ จะได้กำลังกลับคืน และไม่มีน้ำเข้าไปในกระเพาะทำให้เชื้อที่มีอยู่ ก่อให้เกิดอาการถ่าย คนไข้ก็จะไม่โทรม เพราะสู้ศึกด้านเดียว คือรอให้ร่างกายเคลียร์เชื้อจากกระเพาะจนหมด

หลังจากเริ่มมีกำลัง และเชื้ออ่อนตัวลง นั่นหมายความว่า คนป่วยจะเริ่มกลับมาทานอาหารได้ดั่งเดิม เริ่มจากอาหารอ่อนที่ร้อนๆ แล้งจึงทานสมุนไพรต่อ

ในขณะให้น้ำเกลือ ก็ลดสมุนไพรเป็นทานยาเขียวเพียงอย่างเดียวไปก่อน เพื่อไล่เชื้อ

สิ่งที่หลวงพ่อนิพนธ์มักกล่าวเตือนบ่อยๆ นั่นคือ หลังจากเริ่มทานได้ ต้องรีบออกจากโรงพยาบาล มิฉะนั้น หมอจะจับนอนยาวเลย เพราะเหตุที่ผลตรวจค่าต่างๆ ในเลือดของคนทานสมุนไพรมักมีค่าสูงเกินเกณฑ์เป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ว่า น้ำตาล ไขมัน ...

อย่าลังเล และรอ หรือปฏิเสธแพทย์แผนปัจจุบันไปเสียทั้งหมด นี่แหละคุณของแผนปัจจุบัน มีไว้สำหรับอุบัติเหตุ คือเหตุเฉพาะหน้า เช่นนี้

การผสมผสานระหว่างสมุนไพร ใช้ในการฟื้นฟูตน ส่วนแพทย์แผนปัจจุบัน ใช้แก้ไขอาการปัจจุบันทันด่วน ที่หลวงพ่อมักเรียกว่าอุบัติเหตุ เช่น ทานไม่ได้ มีเสลดพันคอ ...

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักสอนว่า หากกรรมเขาปิดประตูกิน นั่นคือการปิดประตูตีแมวแล้ว ต้องรีบแก้ไขให้กลับมาทานได้อย่างด่วนที่สุด

ส่วนอาการของโรค มักจะเป็นหนังยาว ไม่จบกันในวันสองวันนี้หรอก

ดังนั้น หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักชี้ให้เห็นว่า การรักษาตน นั่นคือการชิงไหวชิงพริบ ระหว่างเรากับกรรม

ดังนั้นจึงต้องรู้เขารู้เรา รู้ว่าสิ่งใดที่เป็นตัวทำให้ตายได้ และจะแก้ไขโดยวิธีใด

อันหมายความว่า กรรม มีวันเวลา เมื่อถึงเวลาต้องสิ้นสุด

เมื่อกรรมมาทำให้เราทานไม่ได้ ก็มีวันเวลากำหนดที่เชื้อจะคงอยู่ ห้าวันสิบวัน หากเราไม่รู้เท่าทัน ผลต่อเนื่องก็จะเกิดอาศัยการขาดอาหารเป็นเหตุ แต่เมื่อเรารู้เท่าทัน ใช้น้ำเกลือแทน

เมื่อเวลามาถึง เชื้อก็ต้องหมดฤทธิ์ ร่างกายเราก็จะกลับมาเหมือนเดิม และไม่ทรุดจากการทานไม่ได้นี้ นี่แหละจึงเรียกว่าต้องชิงไหวชิงพริบกัน

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงสรุปให้ฟังว่าเคล็ดในการรักษา มีง่ายๆ ด้วยเหตุและผลจากความรู้ของพระพุทธเจ้านั่นคือ เมื่อกรรมมาต้องยอมรับ หากแต่กรรมเมื่อใช้มีวันหมด ดังนั้น จึงอาศัยนี้เป็นเคล็ดว่า "ทำอย่างไรก็ได้ ให้เรายืนหยัดอยู่ได้ จนหมดเวลาแล้วเราก็จะชนะเอง"

การทานสมุนไพรก็คือการเตรียมร่างกาย และภูมิ เพื่อให้ยืนหยัดอยู่ได้ รอจนหมดกรรม โรคก็จะหมดฤทธิ์ "โรคตาย แต่เราไม่ตาย" นี่แหละเขาเรียกหายโรค

สิ่งที่เรียกกรรมพันธุ์ อันความหมาย จึงหมายถึง โรคที่ทำให้เราตาย ที่ซึ่งปกติทั่วไป "โรคแก่แล้วตาย" นั่นหมายถึงเราก็ตายด้วย

หลักพระภูมี ใช้เหตุและผล ไม่ใช่หยิ่ง ถือว่าสมุนไพรดี แล้วไม่สนใครอื่น ไม่เอา ไม่ใช้

ถูกผิด เขาวัดกันที่ผล .... จึงเป็นคำกล่าวที่พระภูมีทรงตรัสว่า "รู้รักษาตัวรอด เป็นยอดคน"

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ความไม่รู้

หลวงพ่อนิพนธ์ได้เล่าเรื่องราวเมื่อครั้งเป็นพระถ้ำกระบอก เพื่อตอกย้ำคุณประโยชน์ของความไม่รู้ ที่มีผลต่อจิต ให้ฟัง

เรื่องเกิดเมื่อครั้งท่านเดินธุดงค์ ซึ่งเป็นกิจของสงฆ์ถ้ำกระบอกที่ต้องทำทุกปี ในช่วงต้นปี อันถือได้ว่าเป็นการสอบในภาคปฏิบัติ หลังจากได้เล่าเรียนภาคทฤษฏีมาตลอดปีแล้วนั่นเอง

วันหนึ่งของการธุดงค์ เป็นวันที่คณะสงฆ์เดินทางไกลกว่าปกติ อันเนื่องมาจากหาที่เหมาะสมในการปักกลดไม่ได้นั่นเอง

คณะสงฆ์เดินจนถึงเวลาค่ำจนสิ้นแสงอาทิตย์ จึงลงความเห็นว่าควรที่จะปลักกลดตามสภาพ เพราะไม่สามารถเดินต่อไปได้แล้ว

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้ดูสถานที่บริเวณแถวนั้น เพื่อหาที่ปักกลด แลมองไปเห็นเนินๆ หนึ่ง พื้นที่พอดีที่จะปลักกลดได้ จึงได้ทำการปักกลดลงที่เนินแห่งนั้น

เช้ามา ก็มีชาวบ้านแห่กันมาใส่บาตรอย่างมากมาย จนคณะสงฆ์ตกใจ หลวงพ่อนิพนธ์จึงได้ถามสาเหตุที่มากันมากมายนั้น

ชาวบ้านตอบว่า ชาวบ้านดีใจที่มีพระมาปักกลด และบริเวณเนินที่หลวงพ่อนิพนธ์ปักกลดนั้น คือหลุมฝังศพ ของหญิงสาวที่ตายท้องกลม ซึ่งชาวบ้านเล่าว่าเฮี้ยนมาก จนทำให้ยามค่ำคีนชาวบ้านไม่กล้าเดินผ่านบริเวณนี้

และที่ชาวบ้านดีใจแห่กันมามากมาย เพราะพระมาปักกลด แล้วไม่เป็นไร แสดงว่าได้ทำให้วิญญาณนั้นสงบลงแล้ว คงไม่มาหลอกหลอนพวกเขาอีกนั่นเอง

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ความไม่รู้นั่นเอง ทำให้ท่านนอนหลับสบาย หากท่านรู้ว่าที่นั้นเป็นหลุมศพ จะหลับได้หรือ และที่สำคัญ วิญญาณที่ว่านั้นก็ไม่มีจริง ท่านจึงนอนได้อย่างสบาย

เรื่องของโรคก็เช่นกัน หากเราไม่ไปรับรู้ ไม่ตรวจ จิตก็ไม่ต้องรับรู้ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ที่สำคัญ รู้แล้วแก้ได้หรือไม่ ก็ไม่ได้

ร้ายไปกว่านั้น ยิ่งถ้าตรวจแล้วได้ฟังคำขู่ด้วย ว่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็ถึงตายด้วยแล้ว ฟังแล้วเหมือนระเบิดลูกใหญ่ตกกลางใจ ต้องวิ่งหาวิธีแก้กันตีนขวิต อุปมาเหมือนกระต่ายตื่นตูม ผลสุดท้าย ไม่ได้ตายด้วยเหตุที่เป็น แต่ตายเพราะเหยียบกันตาย

หลวงพ่อนิพนธ์จึงยกตัวอย่างให้ อาทิเช่น คนมีความดัน เมื่อตรวจเจอ ได้ยินคำขู่ว่า อาจจะเส้นเลือดแตก เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต หรืออาจถึงตาย จึงต้องรีบวิ่งหายาคุมความดัน ท้ายที่สุด ก็เป็นจริง คือ เป็นอัมพฤกต์ อัมพาต นั่งรถเข็น ทั้งที่กินยาคุมความดันนั่นแหละ แถมด้วยอาจไม่ได้ตายด้วยความดันหรอก แต่ตายด้วยผลข้างเคียง อันเนื่องจากยาเคมีแทน

การไม่รู้ ทำให้ไม่เกิดความเครียด เมื่อเครียดร่างกายจะหลั่งกรด นั่นจึงเป็นเหตุที่หมอมักกล่าวกับคนไข้เสมอว่า ทำใจให้สบายๆ แต่จับไปตรวจ แล้วขู่ คนไข้ที่ไหนมันจะทำใจสบายได้

การไปตรวจร่างกายประจำปี จึงมีผลเสียมากกว่าผลดี

บุญของพระภูมี

ปีใหม่ วันตรุษ เขาแห่ประโคมให้ทำบุญ ปิดทอง ๙ วัด ไปแสวงหาบุญที่อินเดียบ้าง หรือ ...

โน่นมาเลย ต้องปิดทอง ฝังลูกนิมิต สร้างพระ สร้างโบสถ์ ...

สารพัดวิธี ที่กล่าวกันว่าเป็นวิธีแสวงหาบุญของพระพุทธเจ้า

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า คนสมัยนี้เขาหาบุญของพระภูมีไกลตัวเหลือเกิน

ผลที่ได้คือ กลับมาก็ผัวด่าเมีย เมียด่าผัว สิ่งที่เป็นอยู่ก็เหมือนเดิม

ทำไมจึงไม่ย้อนไปดูว่าพระภูมี ท่านเป็นองค์บุญ แสวงหาบุญโดยวิธีใด

ท่านแสวงหาบุญ โดยทิ้งเวียงวัง ทรัพย์สินในท้องพระคลัง มาเหลือแต่ย่ามใบเดียว ไม่มีเงินแม้แต่รูปี

ก็ถ้าหากการสร้างโน่น สร้างนี่ แล้วเป็นบุญ พระโคดมจะทิ้งวังมาทำไม ไม่ต้องมาเดินให้เมื่อย สู้เอาเงินในท้องพระคลังไปแสวงหาบุญไปนิพพานเลยไม่ดีหรือ

พระโคดม จึงแสดงให้ดู ให้เราท่านได้เห็น ไม่มีโบสถ์หรือสิ่งก่อสร้างใดเลยในอินเดีย อันหมายถึงบุญของท่านไม่ได้มาด้วยการสร้างวัตถุใดๆ แลท่านหาบุญโดยอยู่ในสภาพที่ไม่มีเงินติดตัวแม้แต่รูปี อันหมายความว่า บุญของท่านทุกคนมีสิทธิ์ทำได้ เพราะไม่ต้องใช้เงิน

บุญของท่าน เกิดจากการนำธรรมของท่าน มาปฏิบัติเป็นนิสัย ส่งผลให้เกิดกับมนุษย์ รอบข้าง ดังนั้น คนใดเมื่อไปหาพระภูมี แล้วรับธรรมมาปฏิบัติ จึงนำธรรมที่ได้ไปแสวงหาซึ่งบุญ และบุญที่จะพึงบังเกิด ก็ใกล้ตัว ไม่ต้องดิ้นรนไปยังสถานที่ใด กลับถึงบ้าน เจอเมีย เจอลูก ทำไม่ถูกใจ แล้วทำใจไม่ด่า นั่นแลพระภูมีบอกว่าคือ ตัวบุญ

คนมีบุญ บ้านจึงสงบ ไม่ใช่บอกไปทำบุญ ไปหาเครื่องลาง ไปไหว้พระ ไปสักยันต์ แล้วกลับมาก็ด่าลูก ด่าเมีย ถือว่ามีของดี ก็ไปตีไปยิงฟันกับเขา

จึงไม่น่าแปลก หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สาวกของพระภูมีจึงน้อย เพราะกว่าจะได้บุญ ต้องขันติ อดทน อดกลั้น มหาศาล จึงได้บุญมา แต่บุญที่ได้ก็คุ้มค่ามหาศาล พวกที่ไม่ชอบทำ จึงไปตั้งพระเจ้าของตน เพื่อขอแทน แล้วก็กล่าวกันว่า พระเจ้าของตนนั้นดี ขออะไรก็ได้ ไม่เห็นต้องทำเหมือนไปขอพระภูมีเลย

หากแต่พระเจ้าเหล่านั้นไม่มีจริง เมื่อกรรมเกิด ความฉิบหายหรือหายนะกำลังมาเยือนชีวิต พระเจ้าพวกนั้นจึงช่วยอะไรไม่ได้เลย เอามะเร็ง เอาเอดส์ ไปถวาย พระเจ้าเหล่านั้นก็วิ่งป่าราบ กว่าจะรู้ตัวว่าพระเจ้าเหล่านั้นเป็นลม ไม่มีจริง ก็เข้าตำรา "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" ก็เพราะเวลาปกติ กรรมไม่มี หรือ ยังไม่มา ก็โพนทนาชวนกัน ว่าพระเจ้าดีอย่างงั้น ดีอย่างนี้ ขออะไรก็ได้

บุญของพระพุทธเจ้า จึงทำได้ทุกคน เพราะไม่ต้องพึ่งสิ่งอื่นใด นอกจากตัวของตนเท่านั้นเอง นี่แหละความเป็นธรรม ทุกผู้ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ใครทำใครได้

คนอินเดีย อยู่ติดกับแผ่นดินนั้น ยังทุกขเวทนาเลย แล้วเราจะหาสุขโดยบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเหยียบแผ่นดินนั้น เป็นไปได้หรือ

ถ้าบุญหาได้โดยวิธีนั้น พระพุทธเจ้าไปนิพพานไม่ได้หรอก เพราะคนที่ไม่มีปัญญาบินไป ต้องอุทธรณ์ต่อฟ้าดินเป็นแน่แท้

แม่ชีเมี้ยนจึงสอนพระว่า "บุญเกิดจากการทำนิสัย นิสัยที่ว่าต้องเป็นนิสัยของพระพุทธเจ้า หรือมาจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง"

จึงเป็นที่มาว่า ทำไมเมื่อคนไปหาพระที่ถ้ำกระบอก แม่ชีเมี้ยนจึงให้พระไปนำถวายสัจจะแก่คนคนนั้น ก่อนที่จะทำการรักษา เช่น ไม่โกรธวันละหนึ่งชั่วโมง ก็เพื่อให้ได้บุญไปล้างบาปที่ทำมานั่นเอง

อันเป็นสูตรสำเร็จที่ใช้มา คือ "สมุนไพรล้างโรค ธรรมล้างกรรม"

แลผลของการทำตาม ก็ปรากฎให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ เราท่านจึงได้เห็นคนหายโรคกันมากมาย จนเป็นที่เลื่องลือมาจนทุกวันนี้

ใครว่ามีเงิน มียศ เป็นผู้มีบุญ ... ก็ว่ากันไป

แต่พระภูมี ทิ้งเวียง ทิ้งวัง ทิ้งท้องพระคลัง เพื่อแสวงหาบุญ ...

บุญของพระภูมี จึงไม่ไกลตัวเช่นนั้นดอก อยู่ใกล้ตัวแค่นี้เอง

ก็มนุษย์ และสัตว์ ที่รอบข้างเราท่านนี้แหละ คือแหล่งบุญแหล่งบาป ด่าเขาก็เป็นบาป ไม่ด่าก็เป็นบุญ ฆ่าสัตว์ก็เป็นบาป ปล่อยไปก็เป็นบุญ

อยากทำบุญ จึงหนีมนุษย์และสัตว์ไม่ได้เลย

แม่ชีเมี้ยน จึงได้ยกฤาษีให้พระฟัง เพราะนั่นได้ชื่อว่า เป็นยอดแห่งคนที่ทำความดี แต่หาบุญไม่ได้เลย จึงได้แต่นั่งอยู่หน้าประตูนิพพาน แต่เข้านิพพานไม่ได้ เพราะฤาษี มันปฏิเสธมนุษย์นั่นเอง

เวลาทำบาป ยังต้องอาศัยมนุษย์และสัตว์ เป็นเหตุ แล้วเวลาทำบุญ จะมานั่งเฉย ไม่สนมนุษย์และสัตว์เลย ..... จะได้หรือ

อย่าเสียเวลา เสียเงิน เสียทอง ไปสร้างวัตถุ บินไปโน่น เพื่อหาบุญให้เสียเวลาอีกเลย ...

เป็นได้แค่เหยื่อของคนฉลาดที่คอยเอาเงินของเราเท่านั้นเอง ผลที่ได้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย โรคที่เป็นก็ยังเป็นอยู่ ชีวิตที่กำลังจะเลวร้าย ก็หาดีขึ้นไม่

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พัฒนาคน


เมื่อแม่ชีเมี้ยนนำศาส์นของพระภูมีมาให้พระถ้ำกระบอกปฏิบัติ ได้ทรงย้ำว่า ศาส์นอันนี้มีไว้เพื่อ "พัฒนามนุษย์"

เรื่องเล่าขำๆ ในอดีต ที่หลวงพ่อนิพนธ์มักชอบเล่าให้ฟัง นั่นคือ ญาติโยม ที่ไปมาหาสู่ มักจะพูดเสมอ เมื่อหลวงพ่อนิพนธ์ท่านพูดกระเซ้าว่า ทำไมถึงนานๆ มาครั้ง

คำตอบที่ได้จากญาติโยมทั้งหลาย มักจะกล่าวว่า "กลัวไอ้เสือเอี้ยงมัน ได้ข่าวว่าโหดร้ายมาก ฆ่าคนเป็นเบือ

ดังนั้น กว่าจะมาที ก็ต้องรอให้พร้อมหน้าพร้อมตากัน

ด้วยเหตุที่ในยุคปี ๒๕๐๐ นั้น ในเขตละแวกจังหวัดอ่างทอง และใกล้เคียง ไม่เคยมีใครไม่รู้จัก หรือไม่ได้ยิน ชื่อเสือเอี้ยง ที่ปล้นสดมภ์ผู้คนในละแวกนั้นเป็นว่าเล่น

ญาติโยมที่กล่าวเหล่านั้น พูดโดยไม่รู้เลยว่า พระที่คอยดูแลอารักขาหลวงพ่อนิพนธ์ ชนิดไปไหนไปด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่คิดร้ายมาทำร้ายได้ และยืนอยู่ด้านหลังหลวงพ่อนิพนธ์ตลอด นั่นและคือเสือเอี๊ยง

เสือเอี๊ยง ได้พบหลวงและฟังหลวงพ่อนิพนธ์ จนทิ้งฉายาเสือ กลายเป็นท่านเอี๊ยง ที่คอยดูแลเป็นลูกมือหลวงพ่อนิพนธ์ในการรักษาคนไข้

จวบจนอายุขัย ท่านเอี๊ยงกลายเป็นพระที่คนเคารพนับถือ และมีชื่อเสียงอยู่ในเขตวิเศษไชยชาญ โละตำนานเสือเอี๊ยงในหมู่คนไปหมดสิ้น

นึ่แหละคุณของศาสนา ขนาดเสือสางที่คนว่าใจทมิฬ ยังยอมเปลี่ยน

เรามีแม่แบบ ท่านองคุลีมาร ให้เป็นที่ประจักษ์ ว่ากรรมใหญ่แค่ไหน ถ้าใจเชื่อ แล้วทำตาม ก็พัฒนาได้

เรามีแม่แบบ ท่านเทวทัต แม้นจักมีกรรมเพียงน้อยนิด มีปัญญา หากแต่ ใช้ผิด ไม่เชื่อ ไม่ทำตาม "ธรรมแม้เลอเลิศของพระภูมี ก็ไร้ค่า"

หายไปไหน

หลักการแพทย์สมัยใหม่ มักถูกหลวงพ่อนิพนธ์เรียกเสมอว่า "หลักบวก" นั่นหมายความถึง เมื่อใดที่เป็นโรคหนึ่งแล้ว เข้าสู่วงจรนี้ นั่นหมายถึง โรคที่สอง ที่สาม ... กำลังตามมา

หลวงพ่อนิพนธ์จึงฉายภาพเล็กๆ ให้จินตนการตาม เพื่อให้เห็นว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ตัวอย่างที่มักยกมาให้ได้ยินได้ฟัง อาทิเช่น น้ำตาลในเลือด ที่เมื่อตรวจแล้วพบว่าร่างกายมีค่าน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ก็ไม่ยอมที่จะให้ร่างกายได้แก้ไขด้วยตนเอง แต่เลือกใช้การทานอินซูลินเทียมเข้าไปแทน เพื่อลดค่าของน้ำตาล

ผลประการแรกที่เกิดคือ ตับอ่อน อันเป็นแหล่งผลิตอินซูลิน ก็จะถูกร่างกายหลอกว่าไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องผลิต เพราะน้ำตาลในเลือดปกติ อันเนื่องจากการใช้อินซูลินเทียมแทนนั่นเอง ผลสุดท้าย ตับอ่อนก็จะเริ่มหมดความสามารถในการผลิตอินซูลินไปทีละน้อยละน้อย

ประเด็นที่น่ากลัวกว่า คือ น้ำตาลในกระแสเลือดที่มันลดลง หายไปไหน อันนี้แหละน่ากลัว และเป็นการลุ้นระทึก

ถ้าน้ำตาลฝังตัวในหลอดเลือด ผลที่ตามมา คือ เส้นเลือดจะกรอบ เปราะ แตกง่าย อันหมายถึง อัมพฤกต์ อัมพาต รออยู่

ถ้าน้ำตาลถูกไล่ลงข้อ กลายเป็นกรดยูลิค ทำลายข้อ โรคเก๊าต์ โรคกระดูก ก็นั่งรองาบเราในไม่ช้า

หากน้ำตาลไหลเวียนขึ้นไปตกค้างที่ตา อนาคตต้อกระจก ก็หนีไม่พ้น

ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ น้ำตาลเข้ากล้ามเนื้อ ถ้าเป็นกล้ามเนื้อทั่วไป ก็แค่ทำให้ขาดออกซิเจน แล้วเน่า หากแต่บังเอิญเป็นกล้ามเนื้อหัวใจ อันนี้ซิ แจ๊กพอดแตก

หลักของการแพทย์ อยากให้ระดับน้ำตาลในเลือด อยู่ในเกณฑ์ แล้วจะปลอดภัย

หลักของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ให้พิจารณาว่า น้ำตาลที่อยู่ในกระแสเลือด ไม่ว่าจะมีปริมาณมากสักเท่าใด ก็ไม่มีอันตราย เพราะไม่กระทบกับอวัยวะใดๆ เลย เพียงแต่รอคอยร่างกายรีดออก ช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

คนไปหาแพทย์ อาจมีระดับน้ำตาลในเลือดปกติ แต่โรคของเขา ไม่ปกติ เพราะมันจะเพิ่มขึ้น ด้วยผลจากน้ำตาลที่หายไปจากเลือดนั่นเอง

คนที่ไปหาหลวงพ่อนิพนธ์ ด้วยอาการเบาหวาน เมื่อทานสมุนไพร ระดับน้ำตาลในเลือด จะพุ่งสูงปริ๊ด บางคนอาจถึงกับเครื่องตรวจวัดไม่ได้เลยก็มี แต่คนเหล่านนั้นไม่มีอาการช็อคเบาหวาน และใช้ชีวิตปกติได้ ที่สำคัญ ไม่มีโรคแทรกเพิ่มเติม และรอวันร่างกายเคลียร์น้ำตาลจนกลับมาเป็นปกติ โรคเบาหวานก็จะหายไป

คำถามเล็กๆ หากตรวจพบอะไรในเลือด แล้วเลือกที่จะทานยาคุมให้ระดับกลับมาปกติ ถามหมอสักหน่อย "สิ่งที่หาย หายไปอยู่ไหน แล้วจะเป็นอย่างไร"

วันพ่อ


เห็นเจ้าหน้าที่ของชมรม จัดบอร์ดด้านหน้าชมรมเนื่องในเทศกาลวันพ่อ ก็เลยอยากร่วมด้วย

ด้วยเมืองไทยเป็นเมืองที่มีมากมายคารม คำกลอน เทศกาลนี้ก็เลยอยากนำมาฝาก

บทแรก อัญเชิญจากหนังสือ "  ธรรมะสอนเด็ก เรื่องทิศ ๖" อันเป็นพระราชนิพนธ์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ ๗

กล่าวไว้ว่า "ทุกคนควรพยายามให้ลูกหลานมียาสำคัญ คือ คำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

"ศาสนาเป็นยาบำรุงกำลัง เป็นยาสมานหรือระงับ ดับความเจ็บปวดทั้งหลาย"

ตามติดมาด้วยคำคม ของพระยาเทเวศ์รวงศ์วิวัฒน์

ทรงเขียนไว้ว่า " การเป็นไปตาม 'ธรรมดา' เป็นความยั่งยืน 'ฝืนธรรมดา' ให้เป็นด้วยอำนาจใดๆ ก็ได้ชั่วคราว"

แลจากคำคม ของ ดอกไม้สด กล่าวไว้ว่า "คนที่ไม่เคยทำความดี ย่อมไม่รู้ซื้งถึงความดีของผู้อืี่น"

แลภาษิตสามภาษา

"นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ แปลเป็นอังกฤษได้ว่า There is no bliss without peace. แปลเป็นไทยความว่า "สุขใดไป่มาตรแม้นความสงบ"

สุดท้ายที่นำมาฝาก

สาธุสุตํ สาธุจริตกํ แปลเป็นอังกฤษได้ว่า To listen is good better still to act. แปลเป็นไทยความว่า "ฟังไว้ก็ดี ประพฤติได้ดียิ่งกว่า"

แลท้ายสุดจาก วชิรญาณสุภาษิต เขียนโดย "สว่างวัฒนา"

"อาการที่รู้สึกในความประพฤิตของตน ซึ่งเป็นไปในกาย วาจา ใจ อยู่ทุกเมื่อ ไม่ทำ พูด คิด ไปโดยไม่รู้สึกเลือกฟั้นก่อน ความรู้สึกตนเช่นนี้ เรียกว่าสติ สติเป็นเครื่องกันผิดและเป็นกำลังให้ถึงความดีพร้อมทั้งโลกีย์ และโลกุตร ฯลฯ"

ไม่ว่าจากอดีตถึงปัจจุบัน ล้นเกล้าทุกพระองค์ทรงห่วงใยพสกนิกร เป็นล้นพ้น วาดหวังให้คนไทยได้สอนลูกหลานให้เป็นคนดี และสนับสนุนคนดีให้เป็นกำลังของแผ่นดิน

ชมรมคนรักสุขภาพ โดยหลวงพ่อนิพนธ์ กำลังสรรสร้างบุคคลากรที่ไร้ค่า หรือกำลังจะไร้ค่า ให้กลับมาเป็นแนวร่วมกับพ่อแห่งแผ่นดิน ที่ได้ชื่อ "ภูมิพล" อันหมายถึงกำลังแห่งแผ่นดิน เพื่อให้แผ่นดินของท่านสมชื่อ "แผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง"

ขอองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

การบรรลุเป้าหมายในแนวทางของพระภูมี ที่แม่ชีเมี้ยนนำมา ซึ่งถ่ายทอดโดยหลวงพ่อนิพนธ์ จึงมุ่งเน้นการพัฒนาคน ให้เป็นคนดี ทั้งกาย วาจา ใจ .... แล้วกลับไปเป็นส่วนหนึ่งในกำลังของแผ่นดิน ตอบสนองเบื้องยุคลบาท เพื่อทดแทนคุณแผ่นดินถิ่นกำเนิดอันเป็นที่รักยิ่งของผองเราชาวไทยทั้งหลาย

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เสียสละ

ปฐมบท คำสั่งสอนของแม่ชีเมี้ยนที่ทรงสอนแก่ พระคณะแรกที่พาขึ้นถ้ำกระบอก ทั้ง ๙ รูป นั่นคือ รูปรอยของศาสนาที่พระภูมีทุกพระองค์ปฏิบัติ นั่นคือ เริ่มจากการ "เสียสละ"

แม่ชีเมี้ยนได้ยกพุทธประวัติ เมื่อครั้งพระโคดม ทรงออกผนวช แล้วพบเด็กเลี้ยงควาย ให้ฟัง

เด็กเลี้ยงควายเห็นพระโคดม ก็ใช้หินขว้างปาศีรษะของพระโคดม แล้วด่าว่า อ้ายพระเดียรถีย์ ทิ้งพ่อที่แก่เฒ่า อกตัญญูู

สติที่พระโคดมทรงใช้นั่นคือ "การเสียสละ"

ท่านต้องยอมให้คนด่าทั้งเมือง ต้องยอมเสียสละตน ที่ถือได้ว่าเล็กน้อย เพื่อผลอันยิ่งใหญ่แก่มวลมนุษย์ในภายหน้า นั่นคือ การได้บรรลุธรรม เพื่อมาช่วยมนุษย์ จนทำให้มีพระอรหันต์เกือบแสนรูป ปรากฎเป็นพงศาวดารนั้นเอง

ดังนั้น การที่จะมาทำกิจกรรมนี้ ต้องเริ่มจากการยอมเสียสละบางสิ่ง หากแต่ผลที่ได้ตอบแทนกลับมานั้นใหญ่หลวง มีค่าสุดประมาณมิได้

ด้วยชีวิตมนุษย์นั้นมีค่าสุดประมาณมิได้นั้นเอง เงินทองสักเท่าใดก็หาพอใช้ซื้อได้ หากแต่บุญของพระพุทธศาสนา ที่ทำนั้นสามารถช่วยชีวิตของเราท่านได้

พระพุทธเจ้าจึงกำหนด หนึ่งวันในสัปดาห์ ให้เป็นวันที่เราท่านควรเสียสละ มาทำกิจกรรมเพื่อชีวิต และให้ถือเป็นวันสำคัญ เพราะการกระทำในวันนี้นั้น มีผลต่อทุกข์สุขของวิญญาณ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ผู้ที่เห็นว่า มาเมื่อไหร่ก็ได้ มีเวลาก็มา มาแล้ว ก็ไม่ได้เน้นในการทำ นั่งคุย นั่งหลับ นั่งแชท คุยโทรศัพท์

นั่นเป็นพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่า คนคนนั้นเห็นสิ่งเหล่านั้นมีค่าเหนือกว่าชีวิต นั่นคือ ราคาชีวิตของเขาต่ำเหลือประมาณ

จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเหล่านั้นจะประสพผลสำเร็จ แลท้ายที่สุด คนเหล่านั้นก็ตีโพยตีพาย โทษศาสนา ว่าทำไมทำแล้ว ผลจึงไม่เกิด

คนที่จะประสพผล ต้องเห็นค่าของชีวิตเหนืออื่นใด เขาจึงเน้นการกระทำของเขาในวันที่มาทำกิจกรรม เพราะรู้ดีว่า ไม่ว่าเงิน ไม่ว่าสิ่งใดในโลก ไม่สามารถแก้ทุกข์ของเขาได้เลย แต่การกระทำที่ดูพื้นๆ ที่แม่ชีเมี้ยนนำมาให้ ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น สามารถใช้สร้างบุญเพื่อแก้กรรมแก้เวรที่มีของเขาได้

ค่าของการรับโทรศัพท์ ไม่ว่าจะเพื่อให้ได้กำไรพันล้าน หามีค่าไม่ เพราะแก้ปวดท้องยังไม่ได้เลย หากแต่การเสียสละไม่รับโทรศัพท์ แล้วมีสมาธิสวดมนต์ เพื่อหาเงินบุญของพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่ปวดท้องเลย มะเร็งยังกลัว

นี่เองทำให้รู้ได้โดยไม่ต้องเป็นหมอดู ก็เห็นได้เลยว่า คนไหนที่มีแววจะประสพผล คนไหนที่มาทานสมุนไพรแก้ขัด หวังผลไม่ได้เลย ที่หลวงพ่อนิพนธ์เรียกว่า พวกเปลือก พวกกระพี้ หรือ พวกชูชก ที่ต้องทำใจ

เพราะเขามาไม่หวังผล ชีวิตของเขาเองยังไม่ให้ค่า คนประเภทนี้หลวงพ่อนิพนธ์บอก ต้องทำใจ และหลีกให้ไกล

เวลาในการทำเพื่อช่วยตน มีข้ออ้างตลอด ไม่คิดจะยอมเสียใดๆ เลย พระภูมีสอนให้ไกลคนประเภทนี้เข้าไว้ นั่นแหละคนพาล

อาถรรพ์

กลุ่มคนต่างวัย แต่ละคนมีอายุต่างกันเป็นรอบๆ แต่ก็คุยกันถูกคอเป็นแก๊งค์เดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนรุ่นราวคราวเดียวกัน

เริ่มจากหัวหน้าแก๊งค์ ครูชาลี บรมครูแต่งเพลง ตามมาด้วย คุณสุเทพ นักร้องดังแห่งยุค ที่อายุต่างกันหนึ่งรอบ และหนุ่มรุ่นคราวหลาน ที่ไปไหนมาไหนกระเตงกันไปเป็นแก๊งค์ เข้าขากันดี

ด้วยความสนิทสนมมาแต่เดิมระหว่างหลวงพ่อนิพนธ์กับคุณสุเทพ วงศ์กำแหง ตั้งแต่ในอดีตสี่ห้าสิบปีก่อน จนวันหนึ่งคุณสุเทพและคณะก็ได้แวะเวียนมาใช้บริการของชมรม

ในกลุ่มนี้เอง มีชายรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพจัดทำหนังสือพระ เป็นเซียนพระดังในวงการ ไปไหนมาไหนก็ห้อยพระติดคอหลายองค์ และที่ขาดไม่ได้สำหรับเซียนพระนั่นคือ กล้องส่องพระ นั่นเอง

สิ่งที่เกิดกับคนไข้ท่านนี้ นั่นคือ หลังจากทานสมุนไพร เป็นระยะเวลาพอสมควร ก็มีปรากฎการที่แตกต่างจากคนทั่วไป นั่นคือ ไม่ว่าจะทานสักฉันใด ก็ไม่เกิดผลอะไรแก่เขาเลย

ทั้งๆ ที่เขาก็ทานสมุนไพรเหมือนคนทั่วไป ทำกิจกรรมเหมือนคนทั่วไป จนเขาอดรนทนไม่ได้ จึงถามหลวงพ่อนิพนธ์ให้หายสงสัยในสิ่งที่เกิด

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวว่า สิ่งที่เกิดนี่เรียกว่า "อาถรรพ์" ของสมุนไพร อันเนื่องมาจากพฤติกรรมที่เรียกว่า ต้องห้าม ในการทานสมุนไพร นั้นเอง

ท่านได้ขยายความให้ฟังว่า ด้วยเหตุสมุนไพรที่ทานอยู่ เป็นสมุนไพรของพระภูมี ดังนั้น ข้อห้ามประการหนึ่งที่ถือเป็นวัตรปฏิบัติสำหรับคนไข้ ที่มีมาตั้งแต่ครั้งถ้ำกระบอก คือ "ไม่ซื้อขายพระ"

ด้วยเหตุที่พฤติกรรมดังกล่าว ถือเป็นการล่วงล้ำกล้ำเกินพระภูมี ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสูตร เรียกว่า ดึงของสูงมาตีราคา จนกลายเป็นของต่ำ

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงกล่าวว่า ให้ลองเปลี่ยนพฤติกรรมดู คือ เลือกพระที่ชอบที่เป็นรูปพระพุทธไว้แค่องค์เดียวแล้วแขวน ที่เหลือให้เอาออกไปทั้งหมด เลิกขายพระ และเลิกส่องพระ

หลวงพ่อนิพนธ์ให้เขาไปพิจารณาดูว่าทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ก็ดูผลการทานสมุนไพรอีกครั้ง

สัปดาห์ต่อมา หลวงพ่อนิพนธ์เห็นคนไข้ท่านนี้ ทำตามที่ท่านบอก พร้อมกับรายงานผลการทานสมุนไพรว่า เป็นดั่งที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกทุกประการ หลังจากเขาทำตาม ผลของการทานสมุนไพรก็เปลี่ยนไป อาการที่เป็นก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

หลวงพ่อนิพนธ์กล่าวสรุปให้ฟังว่า "ของสูง จึงจะดึงชีวิตที่ตกต่ำของเราขึ้นที่สูงได้" หากเรามีพฤติกรรมดึงของสูงมาลงต่ำเสียแล้ว ของต่ำจะช่วยเราขึ้นที่สูงได้โดยวิธีใด

การทานและปฏิบัติต่อสมุนไพร จึงต้องเทิดทูน ด้วยเหตุเป็นของสูงที่จะนำวิญญาณเราขึ้นที่สูง

อ้ายประเภท รับสมุนไพรแล้ววางไว้กับพื้นรถข้างเท้า เดินถือแกว่งไปแกว่งมาไม่กลัวสมุนไพรตก แต่กลัวหมูตก จำพวกนี้ หลวงพ่อนิพนธ์จึงกล่าวว่า ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ สมุนไพรเขามีวิญญาณ รับรู้ เมื่อเขาเป็นของต่ำไร้ค่าสำหรับคนคนนั้น ผลที่ได้ก็ต่ำตามพฤติกรรมนั้นเอง

แม้นไม่ได้บังคับ แต่ชี้ให้เห็นว่า ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น

"ทำสูงได้สูง ทำต่ำได้ต่ำ" นี่แหละเขาจึงเรียกของเป็น หรือ "ธรรมเป็น"

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตบะแตก


ทางเลือกสมุนไพรแม่ชีเมี้ยน จะประสพผลต้องอาศัยเหตุและผล เป็นสำคัญ ดังนั้นการเรียนรู้เพื่อให้มีน้ำหนัก ก่อให้เกิดความมุ่งมั่น ขันติ และอดทน ด้วยสิ่งที่กำลังต่อสู้คือกรรม ที่ซึ่งมีเล่ห์กล และรูปแบบหลากหลาย เพื่อจะมาเป็นกิเลสดึงเราไม่ให้พ้นจากการเป็นทาส

หากเราประมาท และหย่อนยาน โอกาสที่จะเดินเข้าประตูสวรรค์ ที่แม้จะเหลือแค่เพียงก้าวเดียวก็ถึงแล้วก็มีสิทธิ์หลุดลอยได้

หลวงพ่อนิพนธ์ จึงได้เล่าถึงคนไข้เบาหวานท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมการ และมีฐานะค่อนข้างดี มีหน้ามีตาในสังคม

สภาพของเขา ก่อนที่จะมาที่ชมรม อาการที่ปรากฎเห็นได้ชัด คือ เท้าจะมีสีดำขึ้นมาจนถึงหน้าแข้ง และเกิดอาการขาแข็ง ดังนั้นจึงต้องพึ่งการฉีดเสตียรอยด์ เพื่อให้ขาอ่อนลง จึงไปไหนมาไหนได้ และต้องทานยาเป็นกำ ทุกวัน

ครั้นได้ข่าวชมรม ด้วยความที่ทราบดีว่าหนทางที่เดินอยู่ มีแต่จะเลวร้ายลง จึงคิดจะใช้แนวทางสมุนไพร

หลวงพ่อนิพนธ์ทราบดีว่า คนที่มีสถานะเช่นนี้ มักจะมีความกลัวมากกว่าชาวบ้านทั่วไป ดังนั้น กระบวนการทุกขั้นตอนที่จะพึงเกิด จึงต้องบอกกล่าวให้ฟังเป็นระยะ

เริ่มจาก อาการที่จะพึงเกิดในระยะแรก หลังจากให้หยุดยาเคมี และเสตียรอยด์ รวมทั้งอาการที่จะพึงเกิดจากเบาหวาน

สิ่งที่ตามมา ที่หลวงพ่อนิพนธ์บอกกล่าว นั่นคือ เมื่อทานสมุนไพรไปได้ระยะหนึ่ง ร่างกายมีความสามารถฟื้นฟูตนเอง ก็จะเกิดแผลเพื่อเป็นหนทางระบายน้ำหนอง ที่เห็นเป็นสีดำที่บริเวณเท้าจนถึงหน้าแข้ง รวมทั้งพังพืดที่ก่อตัว

คนไข้ท่านนี้ก็ใช้เวลาทานสมุนไพรระยะหนึ่ง จนเกิดแผลที่นิ้วที่สองของเท้า ตามคำบอก ซึ่งหลวงพ่อนิพนธ์ก็ได้จัดสมุนไพรเพื่อดูดหนอง และพังพืดออกให้

จวบจนเวลาผ่านไปหนึ่งปี บริเวณที่เป็นสีดำก็ลดจนเกือบหมด อีกทั้งวันเวลาที่ผ่านมา คนไข้ก็พอใจ เพราะไม่ต้องทานยาเคมี และฉีดเสตียรอยด์อีกเลย

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนไข้เป็นกังวล นั่นคือแผลที่นิ้วซึ่งยังคงไม่ปิด

หลวงพ่อนิพนธ์ก็ให้เหตุผลว่า เป็นด้วยเหตุที่ร่างกายยังรีดของเสียออกไม่หมดนั่นเอง ดังนั้นจึงยังไม่ควรทำให้แผลดังกล่าวปิดลงด้วยสมุนไพรสมานแผล ควรรอจนกว่าของเสียหมดจะดีกว่า

ด้วยความที่เป็นผู้มีหน้ามีตาในสังคม เพื่อนฝูงมากมาย ที่ต้องเจอะเจอ จึงได้ยินคำพูดวันแล้ววันเล่า ว่าทำไมจึงมาเชื่อหมอผี เชื่อสมุนไพร หมอปัจจุบันเก่งๆ เยอะแยะ ดูซิ ตอนมาก็มาเท้าปกติ มาใช้วิธีนี้ จนทำให้นิ้วเป็นแผล แผลแค่นี้หมอเก่งๆ รักษา ไม่นานก็หายแล้ว

น้ำเซาะหินทุกวันหินยังกร่อน ความเชื่อที่ไม่มีเหตุและผลเป็นน้ำหนักทับเอาไว้ ไม่นานก็ถูกโยกคลอน แม้นสภาพที่กลับมาเดินได้ เท้ากลับมาขาวเหมือนเดิม ไม่ต้องพึ่งยาเคมี และเสตียรอยด์ มาเป็นปี ก็เบาเหมือนปุยนุ่นด้วยลมปากของคนอื่น

เขาจึงหยุดสมุนไพร แล้วหันไปหาหมอที่เพื่อนฝูงแนะนำ ด้วยความต้องการให้แผลที่นิ้วที่สองของเท้านั้นหาย เพื่อเดินได้สะดวก

ความจริงก็คือความจริง ผ่านไปสามเดือน ของการรักษาด้วยหมอแผนปัจจุบัน เขาต้องถูกตัดนิ้วเท้าไป ๓ นิ้ว พร้อมกับการไม่กล้ากลับมาสู้หน้าหลวงพ่อนิพนธ์ แม้ปัจจุบัน ผลจากการทานสมุนไพร เป็นปี ก็ทำให้เขาอยู่ได้โดยไม่ต้องฉีดเสตียรอยด์อีก แต่ก็ทานยาเคมีของหมอ พร้อมกับใช้ไม้เท้าช่วยเดิน เพราะการสูญเสียนิ้วเท้าไปทำให้การเดินของเขาเสียศูนย์

แลเหตุใหญ่ใจความที่ประการหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจไปตามคำแนะนำของพรรคพวก นั่นคือ ความปวด

หลวงพ่อนิพนธ์ได้อธิบายแก่เขาว่า เมื่อร่างกายไล่ของเสียออก ผลที่เกิดคือ อาการที่ไม่เคยรู้สึกเนื่องจากของเสียนั้นทำลายประสาทไป จะเริ่มฟื้นฟูกลับคืนมาอีกครั้ง ดังนั้น จะมีอาการปวดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

เมื่อใดที่มีอาการปวด นั่นหมายถึงอาการของเราใกล้จะหายแล้ว รอจนกว่าเซลล์ต่างๆ ฟื้นฟูเต็มที่ แล้วสู้อาการปวดได้ นั่นคือหายเบาหวานแล้ว แผลที่นิ้วก็จะเริ่มปิดเอง

แต่ท้ายที่สุด ผลของการกอบกู้ตนเองมาหนึ่งปี ก็ล้มไม่เป็นท่า แลเมื่อล้มแล้ว ก็ยากที่จะบากหน้ากลับมาหาหลวงพ่อนิพนธ์อีกครั้ง ได้แต่ฝากคำขอโทษ และเสียใจ

การฟังคำสอนทุกวัน จึงมีค่าอย่างยิ่ง และต้องฟังให้เกิดน้ำหนัก เพราะวันหนึ่ง เมื่อถึงวันตัดสินรอดไม่รอด คือ ลงแดง เราท่านจะได้เกิดมานะ มีขันติ และอดทน ต่อสู้อาการที่เกิด และรอจนร่างกายสามารถเอาชนะได้ โดยไม่ต้องอาศัยยาเคมีใดๆ

นั่นจึงต้องอาศัย "ตนพึ่งตน" บนรากฐานของเหตุและผล จึงจะประสพความสำเร็จ

หลวงพ่อนิพนธ์จึงมักกล่าวว่า แนวทางนี้ "ไม่ผ่านนรก จะเข้าประตูสวรรค์ ได้โดยวิธีใด" จึงต้องใช้สติของพระภูมี นั่นคือ "ทุกข์วันนี้ สุขวันหน้า"

หลายต่อหลายคน ที่เมื่อทานสมุนไพรมาจนร่างกายมีความพร้อม ร่างกายก็จะต่อสู้กับโรค อาการของโรคก็จะปรากฎ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่กลับเป็นทุกข์ และหนีอาการกลับไปหาหมอ เพื่อใช้เคมีระงับอาการนั้นเสีย .... เป็นเรื่องน่าเสียดาย วันเวลา และโอกาสที่จะหาย อย่างยิ่ง

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ของตาย


ขณะนี้หลายประเทศได้ตื่นตัวและตระหนักถึงอันตรายของแร่ใยหินแล้ว แม้ยังไม่มากเท่าที่ควร แต่รัฐบาลของหลายประเทศก็เริ่มรณรงค์ให้ยกเลิกใช้แร่ใยหิน โดยฮ่องกง คาดว่า ปี 2556 จะสามารถออกกฎหมายบังคับยกเลิกการใช้แร่ใยหินได้ ส่วนญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้แต่ประเทศผู้ผลิตแร่ใยหินอย่างแคนาดาได้ประกาศยกเลิกแล้ว

นพ.อดุลย์ กล่าวด้วยว่า เคสผู้ป่วยจากการทำงานสัมผัสแร่ใยหินจะมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากไทยยังมีการนำเข้าแร่ใยหินเป็นปริมาณมากจนติดอันดับต้นๆ ของโลก หากยิ่งชะลอการยกเลิกนำเข้าและใช้แร่ใยหินนานเท่าไร คนก็จะยิ่งเจ็บป่วยจากการการสัมผัสแร่ใยหินมากขึ้นเท่านั้น และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด

ของตายแค่สัมผัสก็แย่แล้ว ทานเข้าไปทุกวัน จะเกิดอะไรขึ้น

ฝรั่งยังกลัว .... ประเทศที่ตื่นตัว ... ต้องยอมเลิก ... เว้นประเทศไทย ...

ปิดไว้ บังไว้ ตายช่างมัน ไม่ใช่พวกตู ... โกยไว้ก่อน อีกนานกว่าจะรู้ตัว ...

แร่ใยหิน  อีกหนึ่งภัยใกล้ตัวที่ต้องระวัง!!
          ทุกวันนี้คนไทยต้องดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงจากมลพิษทาง สิ่งแวดล้อมจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นภัยใกล้ตัวที่สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของเรา โดยที่เราอาจไม่รู้ตัวเลย!!! 
          "แร่ใยหิน" หรือ "แอสเบสทอส" (Asbestos) ก็ถือเป็นหนึ่งในภัยใกล้ตัวที่คนไทยน้อยคนที่จะรู้จักถึงพิษภัยของมัน ที่สามารถคร่าชีวิตของคนเราได้ หากสูดหายใจเอาแร่ใยหินเข้าไปสะสมในร่างกายเป็นปริมาณมาก 
          ที่บอกว่าเป็นภัยใกล้ตัวก็เนื่องจากว่า "แร่ใยหิน" ได้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ในอุตสาหกรรมต่างๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมประเภทซีเมนต์ อุตสาหกรรมผ้าเบรก ผ้าคลัตช์ อุตสาหกรรมผลิตเสื้อผ้าป้องกันไฟหรือความร้อน อุตสาหกรรมกระดาษอัด และอุตสาหกรรมประเภทพลาสติกที่มีแอสเบสทอสเป็นส่วนประกอบ ฯลฯ 
          ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่คนไทยได้ใช้กันอยู่บ่อย ๆ ก็คือ กระเบื้องมุงหลังคาแบบลอนลูกฟูก ท่อระบายน้ำ กระเบื้องปูพื้น ฝ้าเพดาน ฝาผนัง ฉนวนกันความร้อน ผ้าเบรก ผ้าคลัตช์รถยนต์ ท่อน้ำร้อน หม้อไอน้ำ พลาสติกขึ้นรูปต่าง ๆ ฯลฯ 
          ทั้งนี้แร่ใยหิน แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ แอมฟิโบล และเซอร์เพนไทน์ โดยกลุ่มแอมฟิโบล ยังแบ่งย่อยออกได้เป็น 5 ชนิด ได้แก่ ครอซิโดไลท์, อะโมไซท์, ทรีโมไบท์, แอนโธฟิลไลท์ และแอคทิโนไลท์ ส่วนกลุ่มเซอร์เพนไทน์ ก็ได้แก่ ไครโซไทล์ หรือไวท์ แอสเบสทอส 
          ดร.วันทนี พันธุ์ประสิทธิ์ หัวหน้าภาควิชาอาชีวอนามัยและความปลอดภัย คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แร่ใยหินเป็นแร่ธรรมชาติ ที่ค้นพบมาเป็นระยะเวลากว่า 100 ปี  และได้นำเข้ามาในประเทศไทยประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว โดยมีบริษัทเอกชนนำเข้ามาเพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตวัสดุก่อสร้างต่างๆ เนื่องจากแร่ใยหินมีคุณสมบัติ ทนกรด ทนความร้อน ทนไฟ มีเส้นใยที่แข็ง และเหนียว ยืดหยุ่นได้ดี เมื่อนำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ จะทำให้มีความแข็งแรง ทนทาน ทนความร้อนได้ดี 
          อย่างไรก็ตาม แร่ใยหินแม้จะมีส่วนช่วยให้คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ต่างๆ ดีขึ้น แต่ก็มีข้อเสียโดยเฉพาะผลกระทบต่อร่างกายคน หากได้รับการสูดดมฝุ่นและละอองของแร่ใยหินเข้าสู่ร่างกาย จนสะสมในปริมาณที่มากและเป็นเวลานาน 15-30 ปี ก็จะทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับปอด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอดและเยื่อบุช่องท้อง (Mesothelioma)  
          "ปัจจุบันในประเทศที่พัฒนาแล้ว ได้ประกาศห้ามนำเข้าและยกเลิกการใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ แล้ว อาทิ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ฯลฯ สำหรับประเทศไทย ไครโซไทล์ หรือ ไวท์ แอสเบสทอส ยังมีการอนุญาตให้นำเข้าได้อยู่ เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต แต่การนำเข้า ผลิต ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองจะต้องแจ้งและขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ส่วนแร่ใยหินชนิดครอซิโดไลท์ ได้ห้ามนำเข้าเพราะถือว่าเป็นชนิดที่มีอันตรายมาก" 
          ทั้งนี้ในทุก ๆ ปี ประเทศไทยต้องนำเข้าแร่ใยหิน เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ แต่ปริมาณการนำเข้าแต่ละปีจะไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ ซึ่งสัมพันธ์กับภาวะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ  
          โดยในปี 2540 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจไทยมีการนำเข้าแร่ใยหินสูงถึงเกือบ 2 แสนตัน แต่พอปีต่อมา คือ ปี 2541 อุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจปริมาณการนำเข้าจึงลดลงเหลือ 5-6 หมื่นตันเท่านั้น  ส่วนในปีต่อ ๆ มา การนำเข้าก็เพิ่มขึ้นและลดลงสลับกันไป จนถึงปี 2549 ไทยมีการนำเข้าแร่ใยหินเกือบ 1.5 แสนตัน โดยมีประเทศที่สั่งนำเข้าที่สำคัญ ๆ อาทิ แคนาดา รัสเซีย กรีซ ฯลฯ 
          ดร.วันทนี กล่าวต่อว่า สำหรับประเทศไทยกระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแผนงานและได้ประกาศเมื่อปี 2550 ว่า ภายใน 5 ปี หรือประมาณปี 2555 จะให้มีการประกาศห้ามนำเข้าแร่ใยหิน แต่จะเป็นไปได้หรือไม่ ยังไม่มีใครบอกได้ เนื่องจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ยังมีความเห็นที่ต่างกันอยู่ 
          "หน่วยงานภาครัฐอาจจะมองกันคนละมุม กรมโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบอาจจะมองในด้านเศรษฐกิจและการส่งเสริมการลงทุน จึงเห็นว่าแร่ใยหินยังจำเป็นในภาคอุตสาหกรรม หากห้ามไม่ให้ใช้ จำเป็นต้องหาวัสดุอื่นมาทดแทนซึ่งมีราคาสูงกว่ามาก ซึ่งจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อคนจน ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขก็จะให้ความสำคัญกับสุขภาพและความปลอดภัยของประชาชนจึงต้องการห้ามไม่ให้มีการนำเข้า" 
          ในปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารที่จะนำมาใช้ทดแทนแร่ใยหิน เช่น PVA ซึ่งในเมืองนอกที่มีการประกาศห้ามใช้แร่ใยหิน ได้มีการใช้สารตัวนี้ทดแทนอย่างแพร่หลาย สำหรับประเทศไทย มีการผลิตสารตัวนี้เช่นกัน แต่ยังมีน้อยอยู่จึงทำให้มีราคาแพง และหากจะสั่งนำเข้ามาใช้ก็ต้องเสียภาษี ในขณะที่การนำเข้าแร่ใยหินไม่ต้องเสีย จึงทำให้ภาคอุตสาหกรรมยังต้องการใช้แร่ใยหินอยู่ 
          อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงจะได้รับอันตรายจากแร่ใยหินก็คือ กลุ่มคนที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและโรงงานที่มีการใช้แร่ใยหิน รวมถึงผู้ที่ทำงานก่อสร้างและรื้ออาคาร ซึ่งมีโอกาสที่จะสูดดมฝุ่นละอองของแร่ใยหินที่ฟุ้งกระจาย หากไม่มีการป้องกันที่ดี 
          ซึ่งฝุ่นละอองของแร่ใยหินก็มีคุณสมบัติสามารถฟุ้งกระจายลอยในอากาศได้เป็นเวลานาน !??! 
          สำหรับการหลีกเลี่ยงภัยจากแร่ใยหินที่ดีที่สุดนั้น ดร.วันทนี บอกว่า ก็คือ "การไม่ใช้" ซึ่งการที่จะรู้ว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีหรือไม่มีแร่ใยหินก็คือ "การติดฉลาก" บอกผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เคยจะดำเนินการขอความร่วมมือให้มีการติดฉลากลงบนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแร่ใยหินที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวัง แต่ทางผู้ผลิตเห็นว่าข้อความในฉลากน่ากลัวเกินไป จึงยังไม่ให้ความร่วมมือ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความคืบหน้าหรือข้อสรุปในเรื่องนี้ 
          สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ ดร.วันทนี มองว่า จะต้องให้ความรู้กับประชาชนในส่วนของภาคอุตสาหกรรมก็ต้องมีการป้องกันที่ดีให้กับพนักงาน รวมถึงการรื้อถอนอาคารในเขตเมืองก็ต้องมีการป้องกันไม่ให้ฟุ้งกระจาย 
          สุดท้าย ดร.วันทนี เห็นว่า ควรจะต้องมีการประกาศห้ามใช้แร่ใยหินในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ สำหรับแผน 5 ปี ที่จะห้ามการนำเข้านั้น หากภาครัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเอาจริง เชื่อว่าจะทำได้อย่างแน่นอน !?!  
          เพราะประเทศอื่น ๆ สามารถทำได้มาแล้วและทำมานานแล้วด้วย !?!. 
ขอบคุณข้อมูลจาก 

ติดต่อสั่งซื้อสินค้า หาโปรโมชั่น Sesamix-Z และ สารสกัดเซซามินสูตรที่ดีที่สุด โทรหาเรา 086 6O4 7O44